การใช้ “กำมะถัน” เพื่อบำรุง และป้องกัน ยับยั้งศัตรูพืช ตระกูลไร โรคตระกูลรา ในพืชแบบอินทรีย์


กำมะถัน หรือ ซัลเฟอร์ ( sulfur ) เป็นธาตุอโลหะ (อนินทรีย์) ที่เกิดในชั้นดินที่มีการทับถมของซากพืช ซากสัตว์ การระเบิดของภูเขาไฟ นิยมนำมาใช้ในตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งในวงการแพย์ เพื่อเป็นส่วนประกอบ การผลิตยา หรือในภาคอุสาหกรรม และในตัวมนุษย์เราก็มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบของร่างกายอยู่ 0.25 % ของน้ำหนักตัว กำมะถันที่เป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเสริมโครงสร้างร่างกายในส่วนของ ผม เล็บ และผิวหนัง ซึ่งกำมะถันที่มนุษย์ต้องการจะพบมากในอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไข่ พืชตระกูลถั่ว และค่ากำมะถันที่ร่างกายต้องการควรเหมาะสม มีความสมดุล ไม่สูงเกินค่ามาตราฐานที่ร่างกายต้องการ

เช่นเดียวกับการนำมาใช้กับพืช ควรจะต้องทำการศึกษาปริมาณที่ใช้ หรือการทำปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อการใช้ร่วมกับธาตุอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดพิษต่อพืช









Image by wirestock on Freepik

โดยทำการเกษตรอินทรีย์นั้น มีการสนับสนุนให้นำ กำมะถัน มาใช้แทนการใช้ยา หรือสารเคมีบางกลุ่มเพื่อลด หรือหยุดการใช้สารพิษในการเกษตร โดยใช้ในกลุ่มการป้องกัน ศัตรูพืช ตระกูลไร เช่น ไรแมงมุม ไรแดง หรือไรในกลุ่มที่เข้าทำลายไม้ผล ผักสวนครัว และยังยับยั้งการเข้าทำลาย ของเชื้อรา หรือแบคทีเรียที่ก่อโรค

แต่ในการใช้นั้น ต้องมีการลอง และปรับใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อดูปฎิกิริยาต่อพืชที่ส่งผลจากการใช้ เพราะหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะกลายเป็นพิษ ดินเป็นกรด หรือเกิดอาการใบไหม้ ต่อพืชได้ และควรใช้ให้ไม่เกินค่ามาตราฐานที่สะสมอยู่พืชผักสวนครัว ผลไม้

และประโยชบ์ของกำมะถัน ยังเป็นธาตุรองที่สำคัญต่อพืช ช่วยในการสร้างคลอโรฟิลล์ ที่ส่งผลต่อการสร้างสีเขียวของพืช เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือการปรุงอาหารพืช และสังเคราะห์โปรตีน ส่งผลทั้งคุณภาพ ความแข็งแรง และปริมาณผลผลิตต่อพืช

หากพืชขาด ธาตุกำมะถัน จะส่งผลให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ลำต้นอ่อน ต้นล้มได้ง่าย รากไม่แข็งแรง ใบหรือยอดมีสีซีดเหลือง ทำให้เกิดการเข้าทำลายจากศัตรูพืช และโรคได้ง่าย




ดินในตามธรรมชาตินั้นมีกำมะถันอยู่ในปริมาณเพียงพอกับที่พืชต้องการ แต่ในกรณีที่ปลูกพืช หรือต้นไม้ในกระถางที่ไม่มีกระบวนย่อยสลายอินทรีย์ต่างๆ ในดิน หรือแปลงเกษตรที่ไม่มีการพักแปลง หรือไม่ได้มีการปรับปรุงดินโดยการเติมอินทรีย์วัตถุต่างๆ ลงไปในดินเป็นเวลานาน จะทำให้พื้นที่การปลูกนั้น ขาดธาตุกำมะถันได้ ซึ่งการแก้ไขคือ เติมปุ๋ยคอก หรือการใส่กำมะถันให้พืชในปริมาณที่เหมาะสม

ในการหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือน้ำหมักบางชนิด เช่นน้ำหมักจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือแบคทีเรียสังเคราะห์แสง นี้จะทำให้มีเกิดกำมะถันตามธรรมชาติ ของเหลือจากการทำอาหารเช่น เปลือกไข่ที่ผ่านความร้อน ก็จะมีกำมะถันอ่อนๆ ตามธรรมชาติแฝงอยู่




ข้อควรรู้ และข้อควรระวังในการใช้กำมะถันในพืช

ด้วยกำมะถันนั้นมีฤทธิ์ทางเคมีเป็นกรด หากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือมากไปอาจะทำให้เกิดการเสียสมดุลในดิน หรือเป็นพิษต่อพืช ในกรณีที่ใช้ทางใบ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้ จึงต้องมีความระมัดระวังในการนำไปใช้ และควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

• ไม่ควรใช้กำมะถันรวมกับสารจับใบ หรือสารที่มีส่วนประกอบของไวท์ออยล์ หรือหากต้องการใช้ควรเว้นระยะการใช้อย่างน้อย 2 สัปดาห์

• ไม่ควรใช้ในสภาพอากาศที่มีความร้อนสูง ควรใช้ตอนเวลาเย็น หรือช่วงที่ไม่มีแดดจัด

• ปริมาณการใช้กับพืช แต่ละชนิดไม่เท่ากัน เนื่องจากการต้านทาน ต่อความเป็นกรดของพืชแต่ละชนิดไม่เท่ากัน กำมะถันจะใช้ได้ประสิทธิภาพดี ในพืชที่ต้องการดินที่ความเป็นกรดอ่อน ดังนั้นควรศึกษาชนิดของพืชที่จะใช้ หากใช้กับพืชทุกขนิด ควรทดลองใช้ในปริมาณน้อยก่อน และค่อยปรับเพิ่มขึ้นทีละนิด

• ควรเช็คสภาพดินก่อนใช้ว่า ดินมีค่าความเป็นกรดอยู่แล้วหรือไม่ หากดินเป็นกรดอยู่แล้วไม่ควรใช้กำมะถันเพิ่ม

• ควรสวม เสื้อผ้า มิดชิดและป้องกัน ไม่ให้สูดดม หรือสัมผัสโดยตรง เพราะถึงแม้จะเป็นสารอนินทรีย์ที่มีพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่ำ และร่างกายสามารถขับพิษออกได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากสะสมเป็นเวลานาน หรือได้รับในปริมาณมากเกินค่าร่างกาย ก็มีอันตรายได้ หรืออาจจะมีอาการคันได้ในผู้ที่ผิวบอบบาง หรือแพ้ง่าย

• ในสมัยก่อนนิยมนำกำมะถันมาผ่านความร้อน หรือรมครัว ไล่แมลง แต่ตอนนี้ไม่นิยมให้ใช้ด้วยเหตุที่ก่อให้เกิดโทษ และอันตรายมากว่า เพราะเมื่อกำมะถันเมื่อโดนความร้อนสูง จะทำให้เกิดออกไซด์ของกำมะถัน และไฮโดรเจน ซึ่งจะมีพิษต่อระบบการหายใจ ทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย จึงให้เลิกใช้การรมควันกับกำมะถัน

กำมะถัน และ กรดกำมะถัน ไม่เหมือนกัน “กำมะถัน” จะเป็นก้อน หรือผงสีเหลืองไม่ทำละลายในน้ำ ส่วน “กรดกำมะถัน” จะเป็นสีใส ละลายในน้ำได้ การใช้กำมะถัน ไม่ได้มีอันตราย หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากเป็น กรดกำมะถัน หรือกรดซัลฟิวริก ( sulfuric acid / sulphuric acid ) แล้วนั้น เป็นสารต้องห้าม มีพิษอันตราย ต่อร่างกายอย่างมาก

วิธีการใช้กำมะถัน ในการกำจัด ป้องกันศัตรูพืช และโรคพืช

หากเป็นการปลูกจำนวนน้อย แนะนำให้ใช้เป็นสบู่กำมะถันที่จำหน่ายตามร้านทั่วไป หรือร้านขายยา ซึ่งการใช้สบู่ที่มีส่วนผสม สบู่ซัลเฟอร์ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะมีซัลเฟอร์ผสมอยู่ 2.5-3 % ซึ่งจะไม่ทำการระคายเคืองผิวเราได้ง่าย ให้นำสบู่ก้อนมาทำการหั่นเป็นฝอย ละลายน้ำ เป็นแบบเข้มข้น และผสมน้ำเพิ่ม เพื่อเจือจางเวลานำไปฉีดพ่น

ในกรณีที่ใช้ในปริมาณเยอะ สามารเลือกใช้ ผงกำมะถัน ที่มีจำหน่ายในร้านการเกษตรทั่วไป ที่จะมีชนิดผงละเอียด ละลายง่าย ไม่อุดตันหัวฉีด ผงกำมะถันนั้นจะไม่ละลายเข้ากับน้ำ หากเป็นกำมะถัน ชนิดผงหยาบ และต้องการนำไปใช้ ต้องผสมตัวทำละลาย หรือให้ผสมกับน้ำสบู่สูตรอ่อนๆ เพื่อให้น้ำกับกำมะถันเข้ากันได้ แล้วกรองส่วนที่ไม่ละลาย หรือเป็นผงก้อนใหญ่ เพื่อป้องกันการอุดตันหัวฉีด

การนำกำมะถันละลายนำไปใช้ควรผสมน้ำใช้แบบเจือจาง ซึ่งปริมาณการใช้ หรือเจือจางความเข้มข้นนั้นไม่มีตายตัว แนะนำให้ผสมอ่อนๆ ก่อนในการใช้ในครั้งแรก และค่อยปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันใบไหม้ หรืออาการเป็นพิษในพืช

ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.opsmoac.go.th/angthong-local_wisdom-preview-441591791910
https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/topic2/S.html

บทความที่เกี่ยวข้อง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

แสนจะง่าย!! ทำน้ำสบู่กำมะถัน ใช้ป้องกันไรแดง ไรแมงมุง เชื้อรา และแบคทีเรีย ในต้นไม้ แบบปลอดสารพิษ


การทำน้ำสบู่กำมะถัน เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรก หรือปลูกจำนวนไม่มาก และต้องการป้องกัน การเกิดโรค และศัตรูพืช แบบปลอดสารพิษ ( Non-toxic ) เหมาะสำหรับครัวเรือน หากเป็นการปลูกแบบสวน หรือเกษตกรที่ประกอบเป็นอาชีพ อาจจะเป็นต้นทุนที่สูงเกินไป ควรใช้เป็นกำมะถ้นที่มีจำหน่าย แบบถูกต้องในร้านที่ขายสินค้าการเกษตรโดยตรง

สบู่กำมะถัน หรือสบู่ซัลเฟอร์ ( Sulfur Soap ) เป็นสบู่ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด โดยจะมีส่วนกำมะถันผสมอยู่ 2.5-3% ซึ่งการเลือกนำสบู่กำมะถันมาใช้นั้น ควรเลือกที่มีการรับรอง หรือผลิตที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านขายยา ร้านค้าออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ ในท้องตลาดในไทย มีจำหน่าย มีอยู่ 3 แบรนด์ หลัก Defento, Myda, Oxecure ซึ่งคุณสมบัติการใช้งานไม่แตกต่างกันมาก สามารถเลือกใช้ได้ทั้งหมด ตามความสะดวก


สิ่งที่ต้องเตรียม

1. สบู่กำมะถัน หรือสบู่ซัลเฟอร์ ( เลือกใช้ได้ทุกยี่ห้อตามสะดวก )
2. น้ำอุ่น หรือน้ำที่ต้มและผ่านการพัก ให้อุณหภูมิไม่เกิน 48-60 องศาเซลเซียส
3. น้ำอุณหภูมิปกติ
4. อุปกรณ์ผสม
5. ขวดสเปรย์พ่น หรือฟ๊อกกี้
6. อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำให้สบู่เป็นฝอย มีดหั่น หรือมีดปลอกผลไม้
7. กระชอนตาถี่ ตาละเอียด

ขั้นตอนการทำ

1. นำสบู่กำมะถันมาหั่น หรือขุดให้เป็นฝอย เพื่อให้ง่ายในขั้นตอนการละลาย


2. นำน้ำอุ่น ( ใช้ปริมาณน้ำ 1/3 ของปริมาณสบู่ ) ผสมเข้ากับสบู่ที่ได้เตรียมไว้แล้ว โดยใส่น้ำที่ละน้อยๆ แล้วคนให้เข้ากันในขณะที่น้ำยังอุ่นๆ และค่อยๆ เติมน้ำทีละนิด จนได้เป็นลักษณะน้ำสบู่ข้นๆ










3. นำน้ำสบู่เข้มข้นผสมเข้ากับน้ำอุณหภมิปกติ โดยประมาณ 1 เท่าตัวของน้ำสบู่เข้มข้น เพื่อให้ง่ายต่อการคนผสม และนำไปกรองด้วยกระชอนตาถี่ หากมีสบู่ที่ยังละลายไม่หมด ให้ขยี้ละลายให้เข้ากัน


4. เมื่อได้ตัวหัวน้ำสบู่กำมะถันแล้ว ให้นำไปเจือจางกับน้ำอุณหภูมิปกติก่อนนำไปใช้ ใส่เป็นขวดสเปรย์พ่น
และนำไปพ่นตามที่มีการระบาด

การนำไปใช้งาน

สัดส่วนการใช้นั้นไม่มีตายตัว แต่แนะนำให้ผสมให้เจือจาง 15-20 เท่า ในการใช้งานครั้งแรก และค่อยปรับให้เข้มข้นขึ้น หากพืชไม่แสดงอาการใบไหม้ หรือใบเหลือง ใบร่วง

การใช้งานควรเว้นระยะการใช้งานให้เหมาะสม โดยดูจาดอาการของต้น หรือการระบาดที่ลดลง หากไม่มีการระบาดแล้ว เป็นระยะป้องกัน ก็สามารถลดความถี่การใช้งานลงได้

การดูแลรักษาแบบปลอดสารพิษจะให้ได้ผลนั้น ต้องใช้ความสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลลัทธ์ที่ชัดเจน และถ้าหากเคยใช้สารเคมี หรือสารที่เป็นกลุ่มยาฆ่าแมลงมาแล้ว ตัวไรแดง นั้นจะมีอาการดื้อยาอาจจะทำให้การใช้อินทรีย์ หรือปลอดสารพิษไม่ได้ผล หรือมีประสิทธิต่ำ

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ไรแดง ศัตรูพืชตัวร้าย ดูดน้ำเลี้ยงจากต้น ทำลายผิวต้น กระบองเพชร ไม้อวบน้ำ จนเสียหาย และตายได้


ในช่วงที่เราอาจเผลอไม่ได้ดูแลต้นกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ สังเกตเห็นอีกที ลักษณะต้นดูโทรม ดูซูบทั้งที่รดน้ำปกติ ระบบรากก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างไร เมื่อมองดูใกล้ๆ จะเห็นเป็นลักษณะ รังแมงมุมเล็กๆ บริเวณโคนต้น หรือจุดที่เป็นจุดอับของต้น เช่น ก้นกระถาง หรือตามพื้นที่ใช้วางกระถาง และถ้าใช้แว่นขยาย ก็จะพบกับตัวที่มีลักษณะคล้างแมงมุมตัวเล็กๆ สีแดง เดินไปมา เจ้าพวกนี้คือ ไรแดง หรือ ไรแมงมุม ศัตรูพีช ที่แสนจะปราบยากอันดับต้นๆ ของการเลี้ยงกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ เพราะด้วยการที่หลบ และซ่อนตัวเก่ง ทำให้ถูกกำจัดได้ยาก ลักษณะการเข้าทำลายของไรแดงคือ จะเกาะกินน้ำเลี้ยงในต้นจากผิวด้านนอก

และถ้าหากทิ้งระยะเวลานาน ก็จะระบาดเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว จนบางครั้งอาจะทำให้เราเสียต้นกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ เป็นจำนวนมาก ซึ่งในการควบคุมนั้นใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะหายขาด ต้นที่โดนไรแดงเข้าทำลายนั้น หากไม่ตาย ก็จะเกิดแผลที่ผิวต้น โดยจะสังเกตในช่วงแรกได้ยากจนกว่า จะเห็นแผลเป็นวงกว้าง









ไรแดงนั้นจะชอบเข้าทำลายต้นกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ ที่มีผิวไม่แข็งมาก เจาะได้ง่าย อาทิเช่น สกุล โครีแฟนทา ( Coryphantha ), แมมมิลลาเลีย ( Mammillaria ), โลโฟโฟร่า ( Lophophora ), รีบูเทีย ( Rebutia ), อิชินอปซิส ( Echinopsis  ), โลบีเวีย ( Lobivia ) ซึ่งในทุกสายพันธุ์ที่กล่าวมานี้ มีลักษณะผิวที่ง่ายต่อการถูกทำลาย และยังมีปุยขนบริเวณต้น หรือซอกหนามที่ง่ายต่อการซ่อนตัวของไรแดง ซึ่งในเวลาที่เราพ่นยา หรือสารอินทรีย์ต่างๆ เพื่อกำจัด จะทำให้เข้าถึงตัวไรแดงได้ยาก และในจำพวกไม้อวบน้ำ เช่นกุหลาบหิน หรือไลทอป ก็เป้าโจมตีอันดับต้นๆ ของไรแดง

และสิ่งที่จะตามมาหลังจากการกำจัดไรแดงแล้วก็คือ ผิวต้นที่เสียหาย หากผิวที่เป็นแผลยังไม่ได้ทำการรักษา หรือแห้งดีแล้ว เมื่อเจอกับอากาศชื้นก็จะทำให้เกิดเป็นแผลลาม เป็นวงกว้าง ลักษณะจุดสีส้มกระจายไปทั่ว จนที่หลายคนเรียกว่า ราสนิม แต่ในส่วนนี้นั้น จากประสบการณ์ที่เฝ้าสังเกต การเกิดแผลสีส้มบนผิวกระบองเพชร สาเหตุการเกิดนั้นมาจากผิวที่ถูกทำลายจากไรแดง

เนื่องจากผิวชั้นนอกที่ปกป้องถูกทำลายทำให้เกิดการติดเชื้อรา หรือแบคทีเรียได้ง่าย ซึ่งบริเวณแผลที่เกิดมีลักษณะเป็นสีส้ม การรักษาในระยะนี้นั้นควรเป็นลัษณะการยับยั้งการเข้าทำลายของ เชื้อรา แบคทีเรีย แต่ถ้าหากเรายังกำจัดต้นต่อสาเหตุ นั่นคือ ไรแดง ไม่ได้ การรักษาที่แผลอย่างเดียวก็จะเป็นแค่ปลายเหตุ เปรียบเทียบคล้ายคนที่เป็นเบาหวาน ที่หากมีแผลการติดเชื้อจะง่าย แผลหายได้ค่อนข้างยาก เชื้อรา หรือแบคทีเรียเข้าทำลายเนื้อเยื่อได้ง่าย และเร็ว

ส่วนลด !! พิเศษ สูงสุด 50% ช้อปเลย..

นอกจากจะเป็นแผลสีส้มให้เห็นชัด ในบางครั้งก็เป็นลักษณะแผลที่เกิดจากไรแดง จะเป็นฝ้าสีขาวขึ้นบนผิวต้นกระจายไปทั่วต้น หากปล่อยในไรแดงเข้าทำลายต้น ชักใยเป็นวงกว้าง หรือเนื้อเยื่อชั้นใน ถูกทำลายจนทำให้ต้นฝ่อ เป็นเวลานานสิ่งที่จะตามคือ การยืนต้นตาย

กล่าวโดยสรุปจากประสบการณ์ ที่ยังไม่ได้มีงานวิจัยรองรับ หรือการทำการเข้าแล็ปเพื่อวิเคราะห์ เป็นจากการเฝ้าสังเกตการเกิดโรค คือ ไรแดงจะเป็นตัวเข้าทำลายผิวของต้น และเมื่อเกิดอากาศชื้น บวกกับความอ่อนแอของต้น ทำให้เชื้อรา หรือแบคทีเรียเข้าทำเนื้อเยื่อต้องส่วนที่เป็นแผลได้ง่าย ดังนั้นการรักษาจึงเป็นทั้งการกำจัดศัตรูพืชที่เป็นสาเหตุหลัก และกำจัดโรคพืชจากเชื้อรา หรือแบคทีเรียในเวลาต่อมา

วิธีการป้องกัน ดูแล รักษา

• พื้นที่การวางต้นไว้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม มีมุมอับที่แสงแดดส่องไม่ถึง หรือการวางต้นไม้แออัดจนเกินไป จะทำให้ไรแดงซ่อนตัวได้ง่าย และติดต่อกันได้เร็ว

• การมีโรงเรือนลักษณะปิด จะช่วยป้องกันไรแดงที่มาจากต้นไม้อื่นๆ หรือมาตามลม

• การแยกต้นใหม่ที่นำเข้าในบ้าน รื้อกระถางทำความสะอาดต้น และใช้ดินใหม่ก็จะช่วยตัดตอนไรแดงติดมาในกระถางได้ระดับหนึ่ง หลังจากปลูกใหม่ก็ควรแยกพื้นการวางที่ไว้ไม่รวมกับต้นที่เคยปลูก เพื่อดูให้มั่นใจก่อนวางรวมกับต้นเดิม

• หมั่นตรวจตราสำรวจพื้นที่ปลูก และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ

• และอีกหนึ่งวิธีตามธรรมชาติ ที่เราไม่ต้องสร้าง หรือทำ แต่ต้องคอยรักษา และไม่ทำลายคือ แมลงห้ำ ในธรรมชาติ ที่จัดการกินไรแดง ไรแมุงมุม ก็คือ แมงมุมกระโดด ที่เป็นแมงมุมตามธรรมชาติ พบได้ง่าย ไม่มีผิดต่อมนุนย์ ซึ่งเป็นการจัดการกันแบบธรรมชาติของระบบนิเวศ หากเราไม่ใช้สารเคมี สารพิษ แมลงห้ำ ก็จะขยายพันธุ์ได้ดี

การป้องกัน และกำกัด ไรแดง ไรแมงมุมแบบอินทรีย์ ตามธรรมชาติไม่ใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารพิษ

สามารถใช้เป็นกำมะถันได้ กำมะถันนี้นอกจากจะช่วยในการไล่ หรือกำจัดไรแดงแล้ว ยังช่วยสมานแผลที่ไรแดงกินผิว ไม่ให้ลุกลาม หรือติดเชื้อเมื่ออากาศชื้น แต่การใช้กำมะถันนั้น ควรจะต้องใช้ในกรณีที่ไม่เคยใช้สารเคมีชนิดแรงมาก่อน เพราะไรแดงที่ผ่านการใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงมาก่อนแล้ว จะค่อนข้างมีอาการดื้อยากำจัดได้ยาก และการใช้กำมะถันนั้นจะต้องค่อยใช้สม่ำเสมอ หรือเริ่มใช้ในตอนที่ยังไม่ระบาดหนัก เพื่อควบคุมการระบาดได้ดี

ข้อดีของการใช้กำมะถันนั้น นอกจากจะเป็นการป้องกัน หรือกำจัดไรแดงแล้ว หากต้นมีแผลจากการกัดกินผิวต้น ตัวกำมะถันเอง ยังช่วยรักษาบาดแผล หรือป้องกันการเข้าทำลายของ เชื้อรา หรือแบคทีเรียได้ด้วย เพราะในกำมะถันนั้นมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา หรือแบคทีเรียอีกด้วย ทางการเกษตรแบบอินทรีย์ จึงแนะนำให้ใช้กำมะถันในการป้องกันไรแดง แต่ในการใช้นั้นควรศึกษาข้อมูลโดยละเอียดก่อนใช้งาน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดพิษในพืช หากใช้ในปริมาณมาก หรือผิดวิธี

ในระหว่างการใช้กำมะถัน ผิวของต้นกระบองเพชรที่เป็นสีส้มจะค่อยสีอ่อนลง ซึ่งแผลที่เกิดจากการเข้าทำลายของไรแดง และถูกรักษาแล้วนั้น จะกลายผิวเกิดเป็นผิวด้านแข็ง สีน้ำตาล ซึ่งต้องรอเวลาให้ต้นโตขึ้น แผลเป็นจะไล่ลงโคนต้นเรื่อยๆ จนมองไม่เห็น

อีกหนึ่งประโยชน์ทางอ้อมในการใช้กำมะถัน คือยังช่วยบำรุงต้น ด้วยเป็นหนึ่งในธาตุรองที่ต้นไม้ต้องการ จึงทำให้เมื่อถูกน้ำชะล้างลงผิวดินก็ได้เป็นการบำรุงดินด้วยในตัว

การรักษาที่เป็นแผลติดเชื้อนั้น สามารถใช้ ไตรโคเดอร์มา ได้เช่นกัน ไตรโครเดอร์มา เป็นเชื้อราที่จะเข้าทำลาย ป้องกันยับยั้งการเกิดเชื้อราก่อโรค แต่ในการใช้ ไตรโครเดอร์มา นั้นไม่ควรผสม หรือควรเว้นระยะ หรือเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควรใช้พร้อม หรือรวมกับกำมะถัน เพราะกำมะถันจะทำให้การทำงานของไตรโคเดอร์มาไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่เกิดผลลัทธ์

หรือจะใช้ น้ำส้มควันไม้ ที่ผ่านการบ่มพัก และแยกชั้นน้ำมันดินออกแล้ว ด้วยน้ำส้มควันไม้นั้นมีฤทธิ์ เป็นกรด ช่วยในการยับยั้งการเกิด เชื้อราและแบคทีเรียได้

ซึ่งในระยะการรักษาแผลที่เกิดจากเชื้อรา และแบคทีเรียนั้น กลุ่มสารอินทรีย์ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่นั้น จะมีฤทธิ์เป็นกรด ต้องคอยระมัดระวังในการใช้เพื่อป้องกันการเป็นพิษในพืช และหลังจากการรักษาโรคแล้ว ควรมีการบำรุงต้นควบคู่กันด้วย โดยให้อาหารบำรุงพืชเป็นอินทรีย์ต่างๆ เติมเพิ่ม และปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยหมัก จะช่วยลดความเป็นกรดในดิน และปรับค่าของดินให้สมดุล แต่หากดินมีค่าเป็นกรดสูงมากอาจจะต้องปรับด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่มีความเป็นด่าง เพื่อปรับภาวะดินกรดแทน

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

วัสดุโรยหน้ากระถาง กระบองเพชร ( แคคตัส ) ไม้อวบน้ำ ใช้อะไรได้บ้าง? แต่ละวัสดุมีข้อดีเสียยังไง?


ในการปลูกกระบองเพชร หรือไม้อวบน้ำ วัสดุใช้โรยหน้ากระถางนั้นมีความจำเป็น เพราะจะช่วยประคองต้นตั้งตรง ไม่ล้มง่าย ในธรรมชาติ กระบองเพชร จะแทรกตัวในดิน หรือซอกหิน เป็นการประคองต้นแบบธรรมชาติ และการโรยวัสดุ หรือหิน ยังช่วยให้ดินไม่กระเด็นเวลารดน้ำ ด้วยดินกระบองเพชร จะมีลักษณะเบาร่วนซุย ไม่จับตัวจะทำไห้ดินไหล หรือกระเด็นเมื่อโดนน้ำได้

มีวัสดุหลากหลายแบบ ให้เลือกใช้ตามความชอบ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ แตกต่างกันไป ทั้งเรื่องประโยชน์ ข้อดี และเสีย









ดินญี่ปุ่น อคาดามะ ( Akadama Soil )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อดินที่นำไปผ่านการอบที่อุณหภูมิสุง ดินจับตัวเป็นเม็ด เนื้อแข็งปานกลาง แตกง่าย เมื่อใช้มือบีบ สีของดินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ ทำให้สังเกตความชื้นในดินได้ง่าย สีเป็นธรรมชาติ สวยงามเมื่อนำมาตกแต่ง มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : เปี่อยยุ่ย ตามอายุการใช้งาน หากโดนน้ำบ่อย สถานที่ปลูกความชื้นสูง ก็จะทำเนื้อดินสึกกร่อนได้ง่าย นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
การกักเก็บความชื้น : ช่วยเก็บความชื้นพอประมาณ ตัวดินแห้งง่ายไม่อมน้ำมาก
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาค่อนข้างสูง

หินภูเขาไฟสีดำ หินลาวาดำ ( Black Volcanic Stone )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อหินที่มีความโปร่งพรุนสูง ลักษณะเนื้อหินมีความสาก ร่วน เนื้อค่อนข้างแข็ง ขนาดเม็ด จะไม่ค่อยสม่ำเสมอกัน เป็นก้อน หรือละเอียดบ้าง สีของหินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : มีความคงทนสูง ใช้งานได้นาน แต่เมื่อใช้ไปนานๆ อาจจะเป็นคราบขาวจากตะกอนน้ำได้ (ซึ่งไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต)
การกักเก็บความชื้น : หินแห้งง่าย ไม่เก็บความชื้นนาน หากเป็นไม้ที่ปลูกกลางแจ้ง หรือโดนฝน ก็จะทำให้ดินในกระถางแห้งเร็ว ไม่ทำให้โคนต้นเป็นคราบความชื้น นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาปานกลาง

ส่วนลด !! พิเศษ สูงสุด 50% ช้อปเลย..

ดินคานูมะ ( Kanuma Soil )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อดินนุ่ม แตก ยุ่ยง่าย มีแร่ธาตุในตัว สีเปลี่ยนเมื่อโดนน้ำ เนื้อดินเม็ด น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้
ความคงทน : เปี่อยยุ่ย ตามอายุการใช้งาน หากโดนน้ำบ่อย สถานที่ปลูกความชื้นสูง ก็จะทำเนื้อดินสึกกร่อนได้ง่าย นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
การกักเก็บความชื้น : เก็บความชื้นนาน แห้งช้า เหมาะกับไม้ที่ไม่ต้องการความชื้นเยอะ
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาค่อนข้างสูง

หินภูเขาไฟ ( Pumice )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อหินที่มีความโปร่งพรุน ลักษณะเนื้อหินมีความสาก น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้ สีของหินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ มีแร่ธาตุในตัว เบอร์ที่ใช้โรยหน้ากระถางควรเป็นเบอร์ใหญ่
ความคงทน : เป็นวัสดุที่คงทน อายุการใช้งานนาน สามารถล้างแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
การกักเก็บความชื้น : หินแห้งเร็ว ทำให้ดินไม่เก็บความชื้นนาน เหมาะกับไม้ที่ไม่ชอบความชื้น
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาปานกลาง

หินกรวด หินเกล็ด ( Pebble Stone, Crushed Stone )

ลักษณะของวัสดุ : แข็ง น้ำหนักเยอะ มีหลากหลายสีสันตามธรรมชาติ หากเป็นหินกรวดแม่น้ำ เม็ดจะมีลักษณะกลมมน หากหินเกร็ดจะเป็นหินภูเขา ลักษณะเม็ดเป็นแเหลี่ยม ไม่มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : เป็นวัสดุที่มีความคงทน นำมาล้างและ ใช้ซ้ำได้บ่อย
การกักเก็บความชื้น : ตัวหินไม่เก็บความชื้น แต่จะทำให้ดินในกระถางระบายความชื้นได้ช้า ด้วยตัวหินมีลักษณะแน่นทีบ หากขนาดยิ่งเล็ก จะทำให้เกิดความแน่นหน้าดิน และทำให้ดินแห้งช้า
ราคา : เป็นสินค้าที่มีแพร่หลายหาซื้อได้ง่าย ราคาย่อยเยาว์

เม็ดดินเผา เม็ดดินปั้น ( Popper , Clay Pebbles )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเม็ดกลม เนื้อค่อนข้างแข็ง เนื้อด้านในมีความพรุนสูง สีมีทั้ง น้ำตาล หรือดำ แล้วแต่ผู้ผลิต น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้
ความคงทน : เป็นวัสดุที่คงทน อายุการใช้งานนาน สามารถล้างแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
การกักเก็บความชื้น : ด้วยตัวของเม็ดมีลักษณะพรุน จึงทำให้กักเก็บความชื้นได้เยอะทั้งหน้าดิน และในกระถาง
ราคา : ราคาปานกลาง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

กระบองเพชร สกุล โครีแฟนทา (Coryphantha) การเลี้ยง และดูแล


ลักษณะของต้น

เป็นกระบองเพชรที่มีจุดเด่นตรง หนาม ลักษณะของต้นเป็น เต้ากระจายรอบต้น ผิวของต้นสีเขียวเข้ม มีปุยขาวปกคลุมในช่วงระหว่างเตา แตกหน่อที่ปลายเตา หรือช่องระหว่างหน่อ สายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยง และพบได้บ่อยคือ C.elephantidens ( ช้างแคคตัส ) ที่มาจากภาษาลาติน ที่แปลว่า ฟันช้าง ตามลักษณะของหนามหนา และใหญ่









ลักษณะของดอก

เป็นสายพันธุ์ที่ออกดอกได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งปี ดอกมี 3 สี ชมพู เหลือง ขาว ที่พบบ่อยคือ สีชมพู ดอกใหญ่ สีกลีบ มันเงา กลีบดอกยาว จะเริ่มบานตั้งแต่สาย และบานเต็มทีในช่วงบ่าย ดอกหุบในตอนเย็น บาน 1- 2 วัน

การขยายพันธุ์

ผสมเกสร เมื่อติดฝักนำไปเพาะ ขยายพันธุ์ หรือใช้การเด็ดหน่อชำ

สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู

สกุลโครีแฟนทา หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า ช้างแคคตัส ชอบแดดจัด 75-90% อากาศถ่ายดีได้ไม่อับชื้น ยิ่งมีลมโกรก ก็จะช่วยป้องการเกิดโรคได้ดี สิ่งสำคัญคือ การวางต้น ควรมีการเว้นระยะไม่ให้แออัด แสงแดดส่องถึงได้ทั่ว ไม่เช่นนั้นจะผิวเสีย และเป็นโรคได้ง่าย ดินที่ปลูกต้องมีความโปร่ง ไม่เก็บความชื้นเยอะ ชอบน้ำมากว่าสายพันธุ์อื่นๆ หากต้องการให้ต้นโต เต้าใหญ่ แข็งแรง ต้องบำรุงด้วยปุ๋ย

โรค และศัตรูพืชที่พบบ่อย

ไรแดง, เพลี้ยหอย, เพลี้ยแป้ง, โรคจากแบคทีเรีย




📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ไอเดีย และวิธีจัดสวนถาดกระบองเพชร น่ารักๆ


รูปแบบการจัดสวนถาดกระบองเพชร ไม่ได้มีแบบ หรือกฎเกณฑ์ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับจิตนาการของผู้จัด การจัดมีทั้งที่เป็นสวนจำลองเล็กๆ หรือเป็นการปลูกรวมเหมือนจัดแจกันดอกไม้ โดยในการเลือกต้นที่ใช้จัด มีคำแนะนำว่า ควรเลือกประเภทของต้นที่ชอบแดด และน้ำใกล้เคียงกัน เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลต่อภายหลัง

ส่วนกระถางที่ใช้ปลูกควรมีรูระบายน้ำ และถ้าเป็นการปลูกในไทย ที่อากาศชื้นสูง ดินแห้งช้า ควรมีหิน หรือวัสดุที่มีความโปร่งรองก้นกระถาง เพื่อกันน้ำขัง และทำให้ต้นเน่าได้ง่าย









วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ : ดินปลูกกระบองเพชร หินรองก้นกระถาง หินโรยหน้าตกแต่ง หินประดับ ตุ๊กตาตกแต่ง

การดูแลรักษา : ควรวางไว้ในที่มีแสงแดด หรือหากปลูกในที่ๆ แสงน้อย ควรต้องนำมาวางโดนแดดเพื่อให้ต้นไม้ได้สังเคราะห์แสง ถ้าหากเลี้ยงในที่ที่แสงน้อย ไม่ควรนำมาวางกลางแดดแรงเลย เพราะจะทำให้ต้น ปรับตัวไม่ทันจนช็อกแดด หรือต้นไหม้เป็นแผลได้ ควรเป็นแดดที่ความเข้มข้น 60-70% การให้น้ำ หรือรดน้ำ ให้เมื่อดินแห้ง และรดให้ชุ่มไปจนถึงราก เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นขาดน้ำ ไม่แนะนำให้ใช้ฟ็อกกี้ฉีดพ่น เพราะน้ำจะไปไม่ถึงราก อาจทำให้ต้นเหี่ยวหรือขาดน้ำได้

ขอบคุณภาพจาก : Pinterest

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ไอเดียจัดมุมสวนเล็กๆ สไตล์มินิมอล ด้วยกระบองเพชร (แคคตัส)


สวนสไตล์มินิมอล เหมาะกับพื้นที่เล็กๆ ที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดวัน การใช้กระบองเพชร หรือไม้อวบน้ำจัดสวน ช่วยให้พื้นที่ที่ดูแข็ง มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งกระบองเพชร หรือไม้อวบน้ำที่นิยมนำมาจัดสวน ก็จะเป็นจำพวกไม้ลำ หรือที่มีลักษณะเป็นใบ เช่น คอนโดนางฟ้า ใบเสมา ยูโฟเบีย เพราะมีขนาดใหญ่ และฟอร์มของต้นที่จัดแต่งได้ง่าย อาจจะแซมด้วย อากาเว่ หรือกระบองเพชรสกุล ถังทอง อิชินอป ด้านบนดินโรยตกแต่งหน้าด้วยหิน









ซึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างมากในการจัดสวนกระบองเพชร คือ การมีทางระบายน้ำ ไม่ให้น้ำท่วมขัง และควรเป็นพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอกับความต้องการของกระบองเพชร ดินต้องไม่เก็บความชื้นมาก ควรเป็นดินทราย ดินโปร่งระบายน้ำได้ดี และควรมีการรองด้านล่างด้วยหิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำขัง

ขอบคุณภาพจาก: Pinterest, Google

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

กระบองเพชร ตามธรรมชาติ เขาอยู่กันยังไง หน้าตาเหมือนแบบที่เรานำมาเลี้ยงกันไหม??


กระบองเพชร Cactus (แคคตัส) นั้นอาศัยอยู่ในพื้นแห้งแล้ง แทบทะเลทราย หรือเขตพื้นที่ร้อนชื้น มีถิ่นกำเนิดมาจากทางทวีปอเมริกาใต้ และแพร่หลายกระจายมาสู่แอฟริกา จนตอนนี้ได้มีเลี้ยง และกระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยม และสร้างเป็นธุรกิจแพร่หลายไปในหลายประเทศ โดยมีประเทศที่เป็นนักพัฒนาสายพันธุ์ อันดับต้นๆ ของโลกคือ ญี่ปุ่น และไทย ซึ่งมี Breeder นักพัฒนาสายพันธุ์ ที่มีความสามารถมาก จึงทำให้กระบองเพชรจากสายพันธุ์หลัก แตกออกมามากมาย และมีรูปลักษณะหรือ หน้าตาที่หลากหลายมากขึ้น

จนบางทีหน้าตาที่อยู่ในธรรมชาตินั้นจะมีไม่หลากหลายเท่า ซึ่งกระบองเพชรในธรรมชาตินั้น จะมีรูปร่างผิวพรรณไม่ได้สวยงามเหมือนการนำมาเลีัยงดู เพราะต้นนั้นเป็นการอยู่รอดแบบธรรมชาติต้องทนแดด และอุณหภูมิที่สูง อาศัยน้ำจากฝน และน้ำค้างบ้าง ต้นจึงมีลักษณะซูบไม่อ้วนท้วนสมบูรณ์









ด้วยลักษณะรากของกระบองเพชรที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ และหาอาหารบนหน้าดิน จึงทำให้พบเห็นต้นอยู่ตามซอกดิน หรือซอกหิน เพื่อช่วยในการประคองยึดเกาะต้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นการที่เราพบกระบองเพชรนั้น บางสายพันธุ์ ต้นเขาจะฝั่งอยู่ในดินเป็นส่วนมาก และมีหัวโผล่มาด้านบนเล็กน้อย หรือหากไม่สังเกตดีๆ

การงอก หรือเกิด ก็เป็นการผสมพันธุ์จากแมลง หรือต้นที่มีหน่อหลุด ก็จะหน่อแตกกอ หากการผสมเกสรของดอกสมบูรณ์และติดฝัก ฝักที่สุกสมบูรณ์ก็จะปริแตก จนมีเมล็ดด้านในออกมา เมื่อมีฝนตก หรือความชื้นเหมาะสม ก็จะงอกขึ้นตามธรรมชาติ




ขอบคุณภาพ : Pinterest

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ดอกของเจ้ากระบองเพชร Cactus (แคคตัส) เสน่ห์ที่ใครหลายคนโดนตกให้หลงรัก


นอกจากความสวยงามในรูปร่างหน้าตาที่แปลกตา และมีความหลากหลายของเจ้ากระบองเพชรแล้ว ก็มีใครหลายคนที่หลงเสน่ห์เวลาที่เขาออกดอก ด้วยความน่ารัก ที่เวลาเขาออกดอก ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบางคนถึงกับหลงรักแบบหัวปักหัวปรำ ซึ่งการที่กระบองเพชรจะมีดอกได้ นั้นมีปัจจัยหลายๆ อย่าง ที่ต้องมาจากการเลี้ยงดู และสายพันธุ์ อายุ ฤดูกาล เป็นหลัก

หากใครที่ชอบชื่นชมดอกของเจ้ากระบองเพชร แนะนำให้เลี้ยงชนิดที่ ออกดอกได้บ่อย อาทิเช่น ตระกูล โลบิเวีย, แมมมิลลาเรีย, (บางชนิด) ยิมโนคาลิเซียม, โครีแฟนทา, รีบูเทีย

สิ่งสำคัญที่จะทำให้กระบองเพชร ออกดอกคือ แสงแดด และสารอาหารที่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัจจัยหลักและสำคัญ รองลงมาคือ เทคนิคต่างๆ เช่น การอดน้ำในบางช่วงที่จะช่วยกระตุ้นให้เขาเข้าสู่สภาวะการเอาตัวรอด เพื่อขยายพันธุ์ ก็จะทำให้เขาออกดอกได้มาก และเยอะกว่าปกติ

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง >> เลี้ยงกระบองเพชรยังไงให้ออกดอก ??









ขอขอบคุณที่มาภาพ : pinterest, google

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา