กระบองเพชร สกุล แมมมิลลาเรีย (Mammillaria ) การเลี้ยง และดูแล


ลักษณะของต้น

เป็นสกุลกระบองเพชรที่มีความหลากหลายของลักษณะ มีทั้งชนิดที่มีหนามแหลม และเป็นขนหนามอ่อนนุ่ม ลักษณะ โครงสร้าง ลำต้น มีเนื้อแกนกลาง แตกออกเป็นตุ่ม และมีหนาม หรือขนหนาม ที่ปลายตุ่ม ขนหมามมีทั้งสีขาว สีเหลืองทอง หรือออกโทนแดง แล้วแต่ชนิดของต้น ซึ่งตุ่มหนามแมมมิลลาเรียบางชนิด สามารถนำมาชำเพื่อขยายพันธุ์ได้ เช่น แมมขนนก

ช่องว่างระหว่างตุ่มหนาม โดยส่วนมากจะมีเป็นปุยขาวลักษณะคล้ายปุยนุ่นสำลีแทรกอยู่ ด้วยลักษณะของแมมมิลลาเรียที่ลำต้นมีเนื้อเยื้อแกนกลางลำต้นค่อนข้างน้อย และอ่อนนุ่ม ธรรมชาติของต้นจึงสร้างปุยขึ้นมาเพื่อปกป้องไม่ให้แกนลำต้นโดนแสงแดดมากเกินพอดี เมื่อเจริญเติบโตอายุมากจะแตกหน่อเป็นกอใหญ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ









ลักษณะของดอก

แมมมิลลาเรีย สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นและสารอาหารที่เพียงพอ แต่ฤดูที่มีดอกเยอะ เหมาะกับการขยายพันธุ์ที่สุดคือ ฤดูหนาว ลักษณะการออกดอกจะออกเป็นวงรอบ ต้นหรือหน่อครอบคล้ายลักษณะของมงกุฎ สีของดอกที่พบได้บ่อยคือ ขาว และชมพู ม่วง มีโทนออกแดงเข้มบ้าง แต่จะพบได้น้อยกว่า ดอกจะบานในช่วงตอน สายๆจนถึงเย็น และหุบ ระยะเวลาออกดอก 2-3 วัน ก็จะโรย

การขยายพันธุ์

เพาะเมล็ด ชำหน่อ ปาดยอดให้แตกกอ หรือ ออกหน่อเพิ่ม และมีในบางชนิดสามารถติดฝักได้เองโดยไม่ต้องผสม เช่น แมมพิกุล แมมนิโวซา ซึ่งสกุลแมมมิลลาเรีย จะมีไม้ที่เป็นลูกผสม หรือ ไฮปริด ( Hybrid ) ค่อนข้างเยอะ ซึ่งเป็นไม้ที่ได้จากการผสมข้ามชนิด จึงทำให้มีความหลากหลายในลักษณะของขนหนาม โดยลูกที่ออกมานั้น จะมีลักษณะเด่นของทั้ง 2 ชนิดผสมกัน




สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู

แมมมิลลาเรียเป็นไม้ที่ชอบแดดค่อนข้างจัด 70-80 % ชั่วโมงแดดยาวนานต่อเนื่อง 6-8 ชั่วโมง หากเลี้ยงแสงแดดน้อยขนหนามจะกางออก เพื่อพยายามรับแสงมากขึ้น ที่ทำให้ขนหนามไม่แน่นฟู ฟอร์มต้นจะไม่กระชับ ต้นไม่สวยลำต้นยืดยาว ไม่กลมมน

เป็นกระบองเพชรที่ไม่ชอบความชื้นเยอะ ดินที่ใช้ปลูก ต้องโปร่ง ระบายความชื้น และอากาศภายในดินถ่ายเทได้ดี หากมีความชื้นสูงแต่เสี่ยงกับโรคเน่า หรือเชื้อราได้ สามารถเว้นระยะการรดน้ำได้นานกว่ากระบองเพชรชนิดอื่นๆ วิธีการดน้ำ คือให้รดจนชุ่มจนน้ำไหลออกรูก้นกระถาง รดน้ำครั้งถัดไปเมื่อดินแห้ง

และถ้าหากต้องการกระตุ้นการออกดอกจะใช้วิธีอดน้ำ เพื่อกระตุ้นสภาพการอยู่รอด จะช่วยให้กระตุ้นการออกดอก เพื่อขยายเผ่าพันธุ์ โดยการอดน้ำนานกว่าปกติที่เคยรด แล้วรดน้ำให้ชุ่ม ซึ่งต้องดูระยะการอดน้ำ และปรับตามสภาพแวดล้อมของแต่สถานที่เลี้ยง ซึ่งจะไม่การนับวัน หรือสูตรที่ตายตัว ซึ่งการใช้การกระตุ้นด้วยวิธีควรดูว่าต้นไม้แข็งแรง ไม่อยู่ในช่วงป่วย หรือพักฟื้น

อีกหนึ่งปัจจัยที่จะทำให้เลี้ยงแมมมิลลาเรียได้สวยก็คือควรจะมีโรงเรือน จะเป็นระบบเปิด หรือปิดก็ได้ แต่หากเลี้ยงเป็นระบบปิดควรจะมีระบบระบายอากาศภายในเพื่อป้องกันความชื้น หรืออากาศอบอ้าวภายในโรงเรือน ที่จะเป็นสาเหตุ ให้เน่าง่ายได้เหมือนกัน เนื่องจากแมมมิลลาเรียไม่เหมาะกับการเลี้ยงที่โดนฝนโดยตรง เพราะมีโอกาสที่จะทำให้ต้นเน่าหรือเชื้อราได้ง่าย ฉะนั้นการมีโรงเรือนจะทำให้การควบคุม อุณหภูมิ น้ำ และปรับแสงง่ายต่อการเลี้ยงดู




ลักษณะของดอก
โรค และศัตรูพืช

เพลี้ย, ไรแดง, ราที่เกิดจากความชื้นในช่วงฤดูฝน

บทความที่เกี่ยวข้องผสมเกสรแมมมิลลาเรีย (MAMMILLARIA) ง่ายๆ ให้ติด ฝัก นำไปเพาะเมล็ดด้วย ปลายพู่กัน >>คลิก<<

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

วิธีการตัดแต่งราก กระบองเพชร (แคคตัส) ก่อนลงปลูก


ในการปลูกแคคตัส สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือ การตัดแต่งรากไม้ก่อนนำลงปลูก การตัดแต่งรากนั้นจะเป็นการตัดเอารากฝอยออกให้เหลือแต่รากแก้ว และก็เล็มปลายรากแก้วด้วย ซึ่งในการตัดรากแก้วน้้น ตัดได้หลายรูปแบบตั้งแต่สั้นจนกุด หรือเหลือปลายรากยาว 1-1.5 เซนติเมตร

Trim-cactus-root.png









แล้วการตัดแต่งรากแคคตัสก่อนปลูกจำเป็นหรือไหม??

การตัดแต่งรากต้องดูเป็นกรณีตามค่วามสมบูรณ์ของราก อายุของต้น เป็นเกณฑ์ที่เราจะพิจารณา เพราะถ้าในกรณีที่เป็นต้นที่อายุน้อย รากไม่สมบูรณ์ หรือเป็นต้นที่ไม่ได้เปลี่ยนกระถางนาน รากเก่าเสื่อมโทรม

การรื้อกระถางนั้นส่งผลกระทบต่อระบบราก ซึ่งจะทำรากฝอยมีโอกาสตายสูง ถ้าหากเรานำไม้ลงปลูกเลยโดยที่ไม่มีการตัดแต่งราก
รากฝอยที่ตายนั้น จะเกิดการเน่าหมักหมมในดิน ซึ่งอาจจะนำพาแมลงมากัดกินรากที่เน่า หรือมีโอกาสเกิดทำให้เกิดเชื้อราในดินค่อนข้างสูง

อีกทั้งยังส่งผลให้แคคตัสฟื้นตัวได้ช้ากว่ เพราะการตัดแต่งรากนั้น จะเป็นการกระตุ้นให้ต้นสร้างรากใหม่ที่แข็งแรง แทนรากเก่าที่มีการเสื่อมสภาพทำให้การดูดซึมอาหารไปเลี้ยงต้นได้ไม่ดี ส่งผลให้แคคตัสเหี่ยวและโคนต้นยุบ หรือชะงักการเจริญเติบโต

หลังจากาการตัดแต่งรากแล้ว ควรพักไม้อย่างน้อยไว้สัก 3 -7 วัน ก่อนนำไปปลูกเพื่อให้แผลที่รากนั้นแห้งดีเสียก่อน

แต่ในกรณีที่ต้นมีอายุเยอะ หรือเพิ่งเปลี่ยนกระถางได้ไม่นาน แต่ต้นโตคับกระถางเร็ว ก็ไม่นิยมที่จะตัดแต่งราก เพราะจะทำให้ต้นฟื้นตัวได้ช้า แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนกระถางแบบไม่ตัดราก ต้องถอดกระถาง และนำปลูกลงในดินใหม่เลย เพื่อป้องกันไม่ให้รากเกิดความเสียหาย และงดการให้นำ 5-7 วัน แต่ในดินปลูกนั้นต้องมีความชื้นไม่แห้ง หากดินที่นำมาปลูกแห้ง ให้ผสมน้ำให้หมาดๆ ก่อนนำมาใช้




วีดีโอการตัดแต่งรากกระบองเพชร แคคตัส ไม้อวบน้ำ

บทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีดูรากกระบองเพชร (แคคตัส) รากแบบไหนดี หรือมีปัญหา

สาเหตุสำคัญในการเลี้ยงกระบองเพชรอีกอย่างที่เราไม่ควรมองข้าม หากต้องการให้ต้นสมบูรณ์แข็งแรง ก็คือ ระบบของราก ซึ่งเปรียบเสมือนกลไกหัวใจหลักของต้น ที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหาร และแร่ธาตุที่จำเป็นต่างๆ ไปเลี้ยงต้น หากรากมีคุณภาพดี ก็จะส่งผลที่ดีโดยตรงต่อต้น…

อ่านต่อ

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

เพาะเมล็ดกระบองเพชร ไม้ใบ ไม้อวบน้ำ ต้นไม้ทั่วไป ปลอดสารเคมี


ขั้นตอนการเพาะเมล็ดกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ แบบ mini3garden

cactus_seeding2.jpg
  1. แกะดินเพาะออกจากถุง ใส่กล่องตามปริมาณที่ใส่ในถุง ต่อ 1 กล่อง แล้วปิดฝาและนำไปตากแดดทั้งกล่อง วิธีนี้จะเหมือนเป็นการใช้ความร้อนนึ่งดิน
cactus_seeding3.jpg

2. ตากไว้ในที่ที่แดดแรง แดดจัด เป็นเวลา 1-2 วัน กล่องจะมีไอน้ำเกาะ ให้เปิดฝาเอาไอน้ำที่เกาะออก เสร็จแล้วเปิดฝาทิ้งไว้นำดินก็เอามาผึ่งให้แห้ง ลดอุณหภูมิดินให้ปกติแล้ว นำไปเพาะเมล็ด









ขั้นตอนการเพาะเมล็ดแคคตัส

  1. เทน้ำสะอาดใส่ดินที่อยู่ในกล่อง ปริมาณน้ำให้ท่วมหน้าดิน ทิ้งไว้สัก 10 นาที ให้ดินเพาะได้ดูดน้ำจนชุ่ม และเช็คอีกครั้งว่าดินชื้นพอหรือยัง หากดินยังแห้งอยู่ให้สเปรย์น้ำเพิ่ม ดินไม่ควรมีน้ำขังแต่ควรมีความเปียกชุ่ม
  2. นำเมล็ดที่เตรียมไว้ วางบนผิวดิน หลังจากนั้นกดเมล็ดลงไปในดินเพาะเล็กน้อย
  3. ปิดฝาให้สนิทและนำไปวางไว้ในที่แสงแดด ประมาณ 30-40% หรือแดดรำไร

ข้อควรระวังและสังเกตในการเพาะเมล็ด

  • ความชื้นในกล่อง หากดินแห้งเกินไปให้สเปรย์น้ำเพิ่มความชื้น ควรรักษาความชื้นของดินให้เหมาะสมและต่อเนื่อง แต่ถ้าหากเรากะปริมาณน้ำให้พอดีตั้งแต่การเพาะ ไม่จำเป็นต้องเปิดฝาเติมน้ำอีกเลย
  • อย่านำกล่องที่เพาะเมล็ดแล้ววางในที่ๆ แสงแดดแรง อาจจะเกิดตะไคร่น้ำมากเกินไป หรืออาจแดดจะทำต้นอ่อนฝ่อ หรือสุกได้

คำถามที่พบบ่อย

การเพาะเมล็ดทำแบบไหนได้บ้าง??

การเพาะเมล็ดแคคตัสนั้น สามารถทำได้ 2 รูปแบบคือ ระบบเปิด และระบบปิด แต่ที่นิยมคือ ระบบปิด เพราะง่ายต่อการดูแล ไม่ต้องรดน้ำบ่อยๆ และก็อัตราการรอดก็ค่อนข้างสูงกว่าระบบเปิด ที่อาจจะมีการฝ่อ หรือยุบตัวในกรณีที่ความชื้นไม่เพียงพอ หรืออาจจะโดนรบกวนจากแมลงหรือสัตว์ต่างๆ

การเพาะเมล็ดจำเป็นจะต้องใช้ยากันเชื้อราไหม??

จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่การเพาะแบบ mini3garden ไม่ต้องใช้ยากันรา เพียงแค่

  • ต้องนำดินเพาะเมล็ด ตากแดดก่อนปลูกเพื่อเป็นการช่วยฆ่าเชื้อ
  • ล้างเมล็ดให้สะอาดพอ จะไม่ค่อยพบปัญหาเรื่องรา เพราะ เนื้อ หรือเมือกที่เกาะอยู่กับเม็ดจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดราได้ง่าย
  • ไม่เปิดดู บ่อยๆ เพราะการที่เปิดดูนั้น เมื่ออุณหภูมิจากภายนอกเข้าไป ถ้าอุณหภูมิมีความต่างกันมากระหว่างด้านในและนอกกล่องเพาะ อาจทำให้เกิดเชื้อราได้ ถ้าอยากเปิดดูแนะนำว่าให้เปิดในช่วงที่อุณหภูมิ ไม่ต่างกันมากกับอุณหภูมิในกล่อง เช่น เช้ามืด หรือ ช่วงค่ำๆ
  • วางกล่องเพาะไว้ในที่ๆ อากาศถ่ายเท แสงแดดเหมาะสม
cactus_seeding4
หลังจากเพาะเมล็ดได้ 5 วัน

หลังจากเพาะเมล็ด ประมาณ 5-10 วัน ก็จะมีต้นอ่อนงอกออกจากเมล็ด อัตราการงอกจะมีปริมาณมากน้อย นั้นก็ขี้นอยู่กับความสมบูรณ์ของตัวเมล็ดเอง และการงอกช้าหรือเร็วนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยสภาพแวดล้อมต่างๆ




cactus_seeding5.jpg
หลังจากเพาะเมล็ดได้ 30 วัน

พอหลังจากต้นอ่อนค่อยแข็งแรงและเติบโตแล้วประมาณ เดือนที่ 4-5 ก็ค่อยเพิ่มๆ ความเข้มข้นของแสงแดด เพื่อเป็นการให้เขาได้ค่อยๆ ปรับตัว

cactus_seeding6
หลังจากเพาะเมล็ดได้ 5 เดือน ต้นอ่อนเห็นเป็นรูปร่างชัดขึ้น
เมื่อได้อายุ หรือขนาดที่โตพอจะนำออกมาปลูก ก็ค่อยๆ แง้ม เปิดฝาที่ละนิด เพื่อให้ต้นค่อยๆ ปรับกับอากาศภายนอก

การเพาะเมล็ดแบบง่ายๆ by #mini3garden

เมล็ดที่ใช้เพาะในวีดีโอ เป็น Astrophytum (แอสโตรไฟตัม)




📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

วัสดุรองก้น กระถาง กระบองเพชร (แคคตัส) ไม้อวบน้ำ กุหลาบหิน ใช้อะไรได้บ้าง??


ในการปลูกแคคตัส (กระบองเพชร) ไม้อวบน้ำ สิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมากคือ วัสดุที่ใช้รองก้นกระถาง เพราะแคคตัสนั้น เป็นพืชที่ต้องการความชื้นน้อย และอยู่ในที่แห้งและโปร่ง ระบายน้ำได้ดี

โดยตามธรรมชาติ แคคตัสมันจะเกาะอยู่ตามซอกหิน มีเนื้อดินร่วนๆ เพียงเล็กน้อย การปลูกในกระถางก็ควรให้ใกล้เคียงกับธรรมชาติมากที่สุด เพื่อให้เขานั้น เจริญเติบโตงอกงามได้ดี

หินภูเขาไฟ

ข้อดี :
• ช่วยให้รากไม้งอกเร็ว เดินดี
• มีความพรุน โปร่ง ระบายน้ำดี
• มีธาตุอาหารในตัวเอง
• อายุการใช้งานนาน
• ใช้งานง่าย

ข้อเสีย :
• ราคาสูง
• หาซื้อยาก

สนใจสั่งซื้อ : หินภูเขาไฟ คลิก

cactus_002_brick

อิฐมอญ

ข้อดี :
ช่วยให้รากไม้งอกเร็ว

ข้อเสีย :
• การใช้งานยาก ต้องทุบให้ชิ้นเล็ก
เศษฝุ่นชอบจับตัวกันเป็นก้อน อุดทางระบายน้ำ
• มีเศษฝุ่น ต้องร่อนก่อนใช้งาน

cactus_002_chacol

ถ่านไม้

ข้อดี :
ราคาถูก ระบายความชื้นดี

ข้อเสีย :
• การใช้ง่ายยาก ต้องทุบให้ชิ้นเล็ก
• เป็นฝุ่นง่าย ไม่เหมาะกับคนที่แพ้
• มีเศษฝุ่น ต้องร่อนก่อนใช้งาน

cactus_00_coco

กาบมะพร้าว

ข้อดี :
ราคาถูก หาซื้อง่าย

ข้อเสีย :
อายุการใช้งานสั้น เสื่อมเร็ว
• เกิดโรคง่าย เช่น รา เพลี้ยแป้ง
• ต้องใช้ยาคอยควบคุมโรค

การให้น้ำ รดน้ำ กระบองเพชร ( แคคตัส ) ไม้อวบน้ำ ควรให้ ยังไง ปริมาณเท่าไหร่??


การรดน้ำนั้นมีวีธีรดอยู่ 2 รูปแบบ คือ รดจากปากกระถาง เหมือนการรดน้ำต้นไม้ทั่วๆ ไป และ การให้น้ำจากก้นกระถาง โดยการนำกระถางไปแช่ในกะละมังให้น้ำไหลย้อนไปจากรูก้นกระถาง

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสะดวกของแต่ละบุคคล เพราะในการให้จากก้นกระถางอาจจะไม่เหมาะกับไม้ในปริมาณมากๆ  ข้อดีของการให้น้ำจากก้นกระถาง คือในกรณีที่ต้องการรักษาแผลจากต้น แผลปริแตก หรือแผลจากการปาดยอด หรือบางต้นที่ต้องการรักษาแป้งนวลที่ผิวไม่ให้หลุด ซึ่งไม่ต้องการให้ต้นโดนน้ำโดยตรง

มีหลายคนบอกว่า กะปริมาณน้ำไม่ถูก ซึ่งความจริงแล้วไม่ต้องกะปริมาณ เพียงแค่รดให้น้ำไหลออกมาจากรูก้นกระถางก็เป็นอันใช้ได้ และอีกหนึ่งความเข้าใจผิดๆ ที่ว่าอย่าให้น้ำเยอะเดี๋ยวตาย ใช้เป็นการสเปรย์น้ำแทน ซึ่งการเสปรย์นั้น ไม่อาจส่งน้ำไปถึงรากได้ ต้นไม้มีระบบดูดซับที่อยู่ที่ราก ปริมาณน้ำที่ได้นั้นอาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการ อาจทำให้รากแห้งและตาย ทำให้ต้นไม้ยุบตัว โคนยุบ และไม่เจริญเติบโต




เราควร นับวันการรดน้ำ แคคตัส (กระบองเพชร) ไม้อวบน้ำ อย่างไร??

ในการให้น้ำนั้นไม่มีสูตรตายตัว ดูตามความเหมาะสมของขนาดต้น กระถาง และแวดล้อมของที่วางต้นไม้ เพราะสถานที่ในการปลูกของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกัน มีตั้งแต่ โรงเรือน , วางไว้ตามชายคาบ้าน โดนแดด 3-5 ชั่วโมง หรือ แดด 100 % ฝน 100 % และอีกปัจจัยคือ ในแต่ละฤดูกาลนั้น การระเหยของน้ำหรือความชื้นแวดล้อมนั้นก็แตกต่างกัน

ดังนั้นการรดน้ำนั้น ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม และฤดูกาล แต่ถ้าให้ลองสังเกตดูจากสถานที่วางต้นไม้ จะดีกว่า ว่ามีความชื้นมากน้อยขนาดไหน

วิธีเช็คง่ายๆ สามารถทำได้ 3 วิธี

1. นำไม้จิ้มฟัน จิ้มลงไปในดิน ก่อนที่จะรดน้ำ หากมีดินที่ชื้นติดขึ้นมานั้น แสดงว่า ดินยังมีความชื้นอยู่สูง

2. ยกน้ำหนักของกระถาง เทียบกันระหว่าง ก่อน และหลังจากรดน้ำ เพื่อจำน้ำหนัก ถ้ายกแล้วเบากว่าเดิมมาก แสดงว่าดินแห้งแล้ว

3. ใช้หินโรย เป็น ดินญี่ปุ่นอคาดามะ ซึ่งสีของดินจะเปลี่ยนเป็นเข้มเมื่อมีความชื้นเยอะ ทำให้สังเกตได้ง่าย ว่าสีอ่อน คือ ดินแห้ง

หลังจากนั้นก็ลองนับระยะดูว่า สถานที่ตรงที่เราปลูก ดินแห้งเร็วขนาดไหน เพียงเท่านี้เราก็สามารถกะวันรดน้ำได้คราวๆ

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา