จุลินทรีย์ ผู้ช่วยที่ดีในการทำการเกษตร ปลูกพืช ผัก ต้นไม้ แบบอินทรีย์ ปลอดสารพิษ ที่ยั่งยืน


จุลินทรีย์ ( microorganism ) เป็นคำคุ้นหูที่เราเจอได้บ่อยมากขึ้น ในการทำเกษตร ปลูกต้นไม้ แบบอินทรีย์ มีการนำจุลินทรีย์ในรูปแบบต่างๆ เข้ามามีส่วนช่วยในปรุงดิน ทำปุ๋ย บำรุงดิน หรือป้องกันโรคพืช เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ที่อาจจะทำให้เกิดโทษต่างๆ ตามมาในภายหลัง โดยจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต สภาพแวดล้อม แเละธรรมชาติ ในระยะยาว

ซึ่งจุลินทรีย์ ที่นำมาใช้ในการเกษตร ได้มีการนำมาตรวจหา และทำการศึกษา ตัวที่สามารถช่วยให้เกิดประโยชน์ และในแง่การขยายเชื้อเพื่อเพิ่มปริมาณการทำจำนวน ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ทำให้เกษตกร หรือผู้ที่เพาะเลี้ยงปลูกต้นไม้แบบครัวเรือน สามารถนำไปปรับใช้ได้ง่าย โดยใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่าย มาเป็นวัตถุดิบในการผลิต

จุลินทรีย์ที่สำคัญในธรรมชาติ มี 6 ชนิด แบคทีเรีย (Bacteria), รา (Fungi), ยีสต์ (yeast), แอคติโนมัยซิท (Actinomycetes), ไวรัส (Virus), สาหร่าย (Algae)









หากฟังจากชื่อแล้ว แบคทีเรีย ,รา, ยีสต์ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ซึ่งในธรรมชาตินั้น มีทั้งที่เป็นตัวดี และตัวร้าย ที่ก่อให้เกิดโรค จุลินทรีย์ที่ดีนั้น นิยมนำมาใช้กันมากมายทั้งในการผลิดยาปฏิชีวนะ อุสาหกรรมอาหาร และชนิดที่นิยมนำมาใช้ในการเกษตร จะเป็น แบคทีเรีย (Bacteria), ยีสต์ (yeast), รา (Fungi), สาหร่าย (Algae) เช่น การทำจุลินทรีย์ หรือแบคทีเรียสังเคราะห์แสง, จุลินทรีย์หน่อกล้วย, จุลินทรีย์น้ำหมักปลา, จุลินทรีย์ EM, เชื้อราป้องกันโรคพืช ไตรโคเดอร์มา เป็นต้น

แบคทีเรีย (Bacteria)

ที่มาข้อมูล : https://royal.dld.go.th/ ที่มาของภาพ : (a) https://biol1c201.blogspot.com/2012_02_01_archive.html (b) https://www.doribax.ru/infektsii-yavlyayutsya-odnoy-iz-osnovnh-pritchin-raka-u-molodh (c) https://sites.google.com/site/evolutionet2/baeb-thdsxb/xanacakr-mo-nex-ra

แบคทีเรียที่พบตามธรรมชาติมีหลายชนิด เช่น Bacillus sp. ตัวที่ช้ในการกำจัดศัตรูพืช , Lactobacillus sp. พบในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนมเปรี้ยว การทำผักดอง , Phototrophic bacteria เป็นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้พลังงานจากแสงในการเปลี่ยนสารอาหารเพื่อมาใช้ประโยชน์ในตัวเองเพื่อเพิ่มจำนวน

ราและยีสต ( Fungi and Yeast )

ที่มาข้อมูล : https://royal.dld.go.th/ ที่มาของภาพ :: (a) http://enfo.agt.bme.hu/drupal/en/node/2780 (b) https://www.elnacional.com/ (c) https://microbz.co.uk/saccharomyces-cervisiae/

เป็นพวกยูคาริโอตที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ มีทั้งแบบเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ ที่ใช้ทำ ขนมปัง ข้าวหมาก ไวน์ เป็นอาหารสัตว์ และหลายเซลล์ เช่น ราเส้นสาย และเห็ด สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ดำรงชีวิตเป็นผู้ย่อยสลาย (decomposer) ในห่วงโซ่อาหาร มีความสำคัญในวัฏจักรธาตุอาหาร พบมากในกองปุ๋ยหมัก สืบพันธุ์โดยการแบ่งตัว แตกหน่อ หรือการสร้างสปอร์

สาหร่าย (Algae)

ที่มาข้อมูล : https://royal.dld.go.th/ ที่มาของภาพ :: (a) https://readforlearning.blogspot.com/2012/10/nostoc-hseb-notes.html (b) https://www.researchgate.net/publication/286196496_Arthrospira_Spirulina

พบทั้งที่เป็นเซลล์เดียวและหลายเซลล์ (multicellular) มีคลอโรฟิลล์เพื่อทาหน้าที่สังเคราะห์แสง มีรูปร่างหลายแบบ เช่น Anabaena เป็นสาหร่ายสีน้ำเงินที่อาศัยอยู่ในใบของแหนแดง ตรึงไนโตรเจนสะสมอยู่ในแหนแดงจึงส่งเสริมการใช้แหนแดงเป็นอาหารสัตว์ เพื่อเป็นแหล่ง โปรตีน ด้านพืช เลี้ยงแหนแดงในนาข้าว จะทำให้ข้าวได้รับไนโตรเจนจากแหนแดง ส่งผลให้เจริญเติบโตได้ดี ( แหนแดง เป็นเฟิร์นน้ำขนาดเล็กเป็นทั้งปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และอาหารสัตว์ ในใบของแหนแดงมีสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินอาศัยอยู่ซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ทำให้แหนแดงเจริญเติบโตได้เร็วและมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสูง)

https://www.freepik.com/free-photo/microscopic-germs-pathogens_15518296.htm#query=microscopic-germs-pathogens&position=7&from_view=search&track=sph

โดยตัวของจุลินทรีย์ เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มาช่วยในการเร่งให้เกิดกระบวนการต่างๆ ที่จะทำให้เกิดผลลัทธ์ที่เราจะนำไปใช้ประโยชน์ เช่น ย่อยอนินทรีย์ หรืออินทรีย์วัตถุ หรือกระบวนเปลี่ยน แปรธาตุต่างๆ และปลดปล่อยธาตุอาหาร มาเป็นรูปแบบที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งการเพาะเลี้ยงขยายเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ นั้น ต้องทำความเข้าใจในลักษณะ การเกิดและขยายเชื้อ สภาพแวดล้อม หรือการนำไปใช้ประโยชน์ เพราะจุลิทรีย์แต่ละชนิดมีการใช้สภาพแวดล้อม อาหาร เพื่อขยายเชืัอที่แตกต่างกัน หากเรามีความเข้าใจในกระบวนการขยายเชื้อ การนำไปใช้ ก็จะทำให้เกิดโทษข้างเคียงน้อย และได้ประโยชน์สูงสุด ช่วยให้เราสามารถทำ ปุ๋ยอินทรีย์ หรือชีวภัณฑ์ต่างๆ เพื่อตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น




ขอบคุณคลิป : netflix https://www.youtube.com/watch?v=ROQrbWkV4HI

ปัจจัยหลักที่มีผลกับการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ ประกอบด้วย

สารอาหาร (Nutrient)
– พลังงาน ได้จาก แสงแดด กระบวนการออกซิเดชั่น ขบวนการย่อยสลายสารประกอบอินทรีย์ โดยเฉพาะพวกแป้งและน้ำตาล (การหมัก)
– แหล่งคาร์บอน ได้จากคาร์บอนไดออกไซด์สารอินทรีย์ (โปรตีน ไลปิด คาร์โบไฮเดรท)
– แหล่งของอิเล็กตรอน ได้จากสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์เพื่อใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึม
– แหล่งไนโตรเจน วัตถุดิบที่นิยมใช้เป็นแหล่งไนโตรเจนให้จุลินทรีย์ในการหมัก เช่น แป้ง ถั่วเหลือง กากน้ำตาล ยูเรีย หางนม สารอินทรีย์ (กรดอะมิโน เพปไทด์และโปรตีน) สารอนินทรีย์ (เกลือไนไตรท์ ไนเตรตหรือแอมโมเนีย)
– แหล่งซัลเฟอร์ เช่น ของเสียที่เกิดจากมูลสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ ปศุสัตว์ น้ำเน่าเสีย
– แหล่งของฟอสเฟต อยู่ในรูปของฟอสเฟตที่เป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลีอิค นิวคลีโอไทด์ ฟอสโฟไลปิด และอื่นๆ

ปริมาณออกซิเจน (Oxygen)
ออกซิเจน – จากน้ำ และสารอาหาร เป็นองค์ประกอบจำเป็นในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ซึ่งแต่ชนิดจะมีความต้องการออกซิเจนที่ต่างกัน
– กลุ่มที่เจริญได้เฉพาะที่ไม่มีออกซิเจนเท่านั้น เช่น ใช้จุลินทรีย์หมักเพื่อให้เกิดกรดแลคติก
– กลุ่มที่เจริญได้เฉพาะที่มีออกซิเจนเท่านั้น เช่น ยีสต์
– เจริญได้ทั้งสภาพที่มีออกซิเจน แลเะไม่มีออกซิเจน
– กลุ่มที่เจริญได้เฉพาะที่มีออกซิเจนเล็กน้อย ถ้ามีมากจะเจริญช้า

ความชื้น (Moisture)
แบคทีเรีย และยีสต์ต้องการน้ำมาก เชื้อราต้องการน้ำน้อย ความชื้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการออสโมซิสของเซลล์ เช่น ยีสตฺ์เจริญในอาหารที่มีน้ำตาลเข้มข้นสูง โดยทั่วไปแล้ว ยีสต์และเชื้อราเจริญได้ดีในอาหารที่มีน้ำตาลเข้มข้น 2-4 % ส่วนแบคทีเรียเจริญได้ดีในอาหารที่มีน้ำตาลประมาณ 0.5-1 % เชื้อราที่เจริญในที่แห้งแล้งได้ดี เช่น อาหารตากแห้ง

อุณหภูมิ (Temperature)
เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความสําคัญอย่างยิ่งในการเจริญ และการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดของจุลินทรีย์ทั่วไป จุลินทรีย์แต่ละชนิดต้องการช่วงอุณหภูมิ ในกลุ่มที่สามารถเจริญเติบโตได้ในช่วงอุณหภูมิ 20 – 50 องศาเซลเซียส เพื่อการขยายเชื้อได้ดี และสามารถใช้ความร้อนที่ 100 องศาเซลเซียสเพื่อทำลายการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้

ความเป็นกรด-ด่าง (pH)
แบคทีเรียสวนใหญ่เจริญได้ที่ ค่า pH 6-8 ส่วนยีสต์ และเชื้อราส่วนใหญ่ เจริญได้ดีในสภาวะเป็นกรด ในกระบวนการหมักของแบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคติก (lactic acid bacteria )เปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรดแลคติก เมื่อกรดแลคติกเพิ่มขึ้นจำนวนมากจน pH 4.2 เชื้อจุลินทรีย์ไม่สามารถเจริเติบโตได้ รวมถึง lactic acid bacteria ก็ตายด้วย กรดแลคติกคงอยู่เป็นการถนอมพืชหมักคงคุณค่าทางโภชนาการ ถ้าแบคทีเรียอยู่ในสภาพ pH แตกต่างไปจากที่ๆ เคยอยู่แบคทีเรียจะตาย

ประโยชน์ที่ได้จากกลุ่มจุลินทรีย์ที่นำมาใช้ในการเกษตร

จุลินทรีย์ที่ตรึงไนโตรเจน (Nitrogen Fixing Microorganisms )

แบคทีเรียที่ตรึงไนโตรเจนได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ตรึงไนโตรเจนได้อย่างอิสระ เช่น Azotobacter sp. , Clostridium sp., Azospirillum sp. กลุ่มที่ต้องอยู่ร่วมแบบพึ่งพาอาศัยกันและกัน จึงจะตรึงไนโตรเจนได้ เช่น Rhizobium sp. ในปมรากตระกูลถั่วส่วนจุลินทรีย์ชนิดอื่น เช่น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน Anabaena sp. สามารถตรึงไนโตรเจนได้แบบอาศัยพึ่งพากันและกันกับแหนแดง มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอินทรียวัตถุและตรึงไนโตรเจนในนาข้าว ทำให้แหนแดงกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่สำคัญและมีศักยภาพสูงใช้ร่วมกับนาข้าว

จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายสารอินทรีย์

เป็นพวกที่ย่อยสลายเซลลูโลส ซากพืช ซากสัตว์ ประกอบไปด้วย แบคทีเรีย รา แอคติโนมัยซิท และโปรโตซัว เช่น Bacillus , Aspergillus , Tricoderma , Penicillium , Thermoactinomyces พบได้ทั่วไปในพืช ซากสัตว์ ใบไม้ กิ่งไม้ เศษหญ้า และขยะอินทรีย์ชนิดต่างๆ ทำให้เกิดปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ ขึ้นมาได้ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ น้ำหมักชีวภาพ




จุลินทรีย์ที่ละลายฟอสเฟต และธาตุอาหารอื่นๆ

แบคทีเรียในสกุล Bacillus sp. และราในสกุล Aspergillus sp. , Thichoderma sp. , Penicillium sp. และ Rhizopus sp. จุลินทรีย์พวกนี้สามารถทำให้ธาตุอาหารชนิด เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี ทองแดง และ แมงกานีส ที่มักอยู่ในรูปที่พืชไม่สามารถนนำไปใช้ได้ (ไม่ละลาย) ให้ละลายออกมาอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ช่วยส่งเสริมให้รากพืชดูดกินอาหารได้ดีขึ้น
จุลินทรีย์ในสกุล Bacillus sp. และ Aspergillus sp. จะสร้างกรดอินทรีย์ละลายฟอสฟอรัส ที่อยู่ในรูปของหินฟอสเฟตออกมาให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้ นอกจากนี้เชื้อราไมคอไรซา (Mycorrhizal Fungi) ยังมีบทบาทในการละลายและการส่งเสริมการดูดใช้ธาตุฟอสฟอรัส

จุลินทรีย์ที่ผลิตสารป้องกันและทำลายโรคพืช

จุุลินทรีย์กลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันและยับยั้งการเจริญของเชื้อราและแบคทีเรียพวก ที่ก่อโรคบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคติก ได้แก่ Lactobacillus sp. บนใบพืชที่สมบูรณ์และ มีสุขภาพดีจะพบแบคทีเรียกลุ่มผลิตกรดแลคติกมาก จุลินทรีย์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ต้องการออกซิเจน และ มีประโยชน์อย่างมากในการเกษตร เช่น เปลี่ยนสภาพดินจากดินที่ไม่ดีหรือดินที่สะสมโรคให้กลายเป็นดินที่ต้านทานโรค
ช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชให้มีจำนวนน้อยลง มีประโยชน์กับพืชและสัตว์ – มีจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการสร้างสารปฏิชีวนะออกมาททำลายโรคพืชบางชนิด เช่น เชื้อรา Aspergillus sp. Thichoderma sp. และเชื้อแอคติโนมัยซิทพวก Steptomyces sp.

ขอขอบคุณ
ข้อมูลอ้างอิง / ประกอบบทความ :
กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
https://dld.go.th/th/
https://royal.dld.go.th/webnew/index.php/th/
📂อ่านข้อมูล หรือดาวน์โหลดข้อมูลเพื่อศึกษาเพิ่มเติม

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

การใช้ “กำมะถัน” เพื่อบำรุง และป้องกัน ยับยั้งศัตรูพืช ตระกูลไร โรคตระกูลรา ในพืชแบบอินทรีย์


กำมะถัน หรือ ซัลเฟอร์ ( sulfur ) เป็นธาตุอโลหะ (อนินทรีย์) ที่เกิดในชั้นดินที่มีการทับถมของซากพืช ซากสัตว์ การระเบิดของภูเขาไฟ นิยมนำมาใช้ในตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งในวงการแพย์ เพื่อเป็นส่วนประกอบ การผลิตยา หรือในภาคอุสาหกรรม และในตัวมนุษย์เราก็มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบของร่างกายอยู่ 0.25 % ของน้ำหนักตัว กำมะถันที่เป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเสริมโครงสร้างร่างกายในส่วนของ ผม เล็บ และผิวหนัง ซึ่งกำมะถันที่มนุษย์ต้องการจะพบมากในอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไข่ พืชตระกูลถั่ว และค่ากำมะถันที่ร่างกายต้องการควรเหมาะสม มีความสมดุล ไม่สูงเกินค่ามาตราฐานที่ร่างกายต้องการ

เช่นเดียวกับการนำมาใช้กับพืช ควรจะต้องทำการศึกษาปริมาณที่ใช้ หรือการทำปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อการใช้ร่วมกับธาตุอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดพิษต่อพืช









Image by wirestock on Freepik

โดยทำการเกษตรอินทรีย์นั้น มีการสนับสนุนให้นำ กำมะถัน มาใช้แทนการใช้ยา หรือสารเคมีบางกลุ่มเพื่อลด หรือหยุดการใช้สารพิษในการเกษตร โดยใช้ในกลุ่มการป้องกัน ศัตรูพืช ตระกูลไร เช่น ไรแมงมุม ไรแดง หรือไรในกลุ่มที่เข้าทำลายไม้ผล ผักสวนครัว และยังยับยั้งการเข้าทำลาย ของเชื้อรา หรือแบคทีเรียที่ก่อโรค

แต่ในการใช้นั้น ต้องมีการลอง และปรับใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อดูปฎิกิริยาต่อพืชที่ส่งผลจากการใช้ เพราะหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะกลายเป็นพิษ ดินเป็นกรด หรือเกิดอาการใบไหม้ ต่อพืชได้ และควรใช้ให้ไม่เกินค่ามาตราฐานที่สะสมอยู่พืชผักสวนครัว ผลไม้

และประโยชบ์ของกำมะถัน ยังเป็นธาตุรองที่สำคัญต่อพืช ช่วยในการสร้างคลอโรฟิลล์ ที่ส่งผลต่อการสร้างสีเขียวของพืช เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือการปรุงอาหารพืช และสังเคราะห์โปรตีน ส่งผลทั้งคุณภาพ ความแข็งแรง และปริมาณผลผลิตต่อพืช

หากพืชขาด ธาตุกำมะถัน จะส่งผลให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ลำต้นอ่อน ต้นล้มได้ง่าย รากไม่แข็งแรง ใบหรือยอดมีสีซีดเหลือง ทำให้เกิดการเข้าทำลายจากศัตรูพืช และโรคได้ง่าย




ดินในตามธรรมชาตินั้นมีกำมะถันอยู่ในปริมาณเพียงพอกับที่พืชต้องการ แต่ในกรณีที่ปลูกพืช หรือต้นไม้ในกระถางที่ไม่มีกระบวนย่อยสลายอินทรีย์ต่างๆ ในดิน หรือแปลงเกษตรที่ไม่มีการพักแปลง หรือไม่ได้มีการปรับปรุงดินโดยการเติมอินทรีย์วัตถุต่างๆ ลงไปในดินเป็นเวลานาน จะทำให้พื้นที่การปลูกนั้น ขาดธาตุกำมะถันได้ ซึ่งการแก้ไขคือ เติมปุ๋ยคอก หรือการใส่กำมะถันให้พืชในปริมาณที่เหมาะสม

ในการหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือน้ำหมักบางชนิด เช่นน้ำหมักจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือแบคทีเรียสังเคราะห์แสง นี้จะทำให้มีเกิดกำมะถันตามธรรมชาติ ของเหลือจากการทำอาหารเช่น เปลือกไข่ที่ผ่านความร้อน ก็จะมีกำมะถันอ่อนๆ ตามธรรมชาติแฝงอยู่




ข้อควรรู้ และข้อควรระวังในการใช้กำมะถันในพืช

ด้วยกำมะถันนั้นมีฤทธิ์ทางเคมีเป็นกรด หากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือมากไปอาจะทำให้เกิดการเสียสมดุลในดิน หรือเป็นพิษต่อพืช ในกรณีที่ใช้ทางใบ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้ จึงต้องมีความระมัดระวังในการนำไปใช้ และควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

• ไม่ควรใช้กำมะถันรวมกับสารจับใบ หรือสารที่มีส่วนประกอบของไวท์ออยล์ หรือหากต้องการใช้ควรเว้นระยะการใช้อย่างน้อย 2 สัปดาห์

• ไม่ควรใช้ในสภาพอากาศที่มีความร้อนสูง ควรใช้ตอนเวลาเย็น หรือช่วงที่ไม่มีแดดจัด

• ปริมาณการใช้กับพืช แต่ละชนิดไม่เท่ากัน เนื่องจากการต้านทาน ต่อความเป็นกรดของพืชแต่ละชนิดไม่เท่ากัน กำมะถันจะใช้ได้ประสิทธิภาพดี ในพืชที่ต้องการดินที่ความเป็นกรดอ่อน ดังนั้นควรศึกษาชนิดของพืชที่จะใช้ หากใช้กับพืชทุกขนิด ควรทดลองใช้ในปริมาณน้อยก่อน และค่อยปรับเพิ่มขึ้นทีละนิด

• ควรเช็คสภาพดินก่อนใช้ว่า ดินมีค่าความเป็นกรดอยู่แล้วหรือไม่ หากดินเป็นกรดอยู่แล้วไม่ควรใช้กำมะถันเพิ่ม

• ควรสวม เสื้อผ้า มิดชิดและป้องกัน ไม่ให้สูดดม หรือสัมผัสโดยตรง เพราะถึงแม้จะเป็นสารอนินทรีย์ที่มีพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่ำ และร่างกายสามารถขับพิษออกได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากสะสมเป็นเวลานาน หรือได้รับในปริมาณมากเกินค่าร่างกาย ก็มีอันตรายได้ หรืออาจจะมีอาการคันได้ในผู้ที่ผิวบอบบาง หรือแพ้ง่าย

• ในสมัยก่อนนิยมนำกำมะถันมาผ่านความร้อน หรือรมครัว ไล่แมลง แต่ตอนนี้ไม่นิยมให้ใช้ด้วยเหตุที่ก่อให้เกิดโทษ และอันตรายมากว่า เพราะเมื่อกำมะถันเมื่อโดนความร้อนสูง จะทำให้เกิดออกไซด์ของกำมะถัน และไฮโดรเจน ซึ่งจะมีพิษต่อระบบการหายใจ ทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย จึงให้เลิกใช้การรมควันกับกำมะถัน

กำมะถัน และ กรดกำมะถัน ไม่เหมือนกัน “กำมะถัน” จะเป็นก้อน หรือผงสีเหลืองไม่ทำละลายในน้ำ ส่วน “กรดกำมะถัน” จะเป็นสีใส ละลายในน้ำได้ การใช้กำมะถัน ไม่ได้มีอันตราย หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากเป็น กรดกำมะถัน หรือกรดซัลฟิวริก ( sulfuric acid / sulphuric acid ) แล้วนั้น เป็นสารต้องห้าม มีพิษอันตราย ต่อร่างกายอย่างมาก

วิธีการใช้กำมะถัน ในการกำจัด ป้องกันศัตรูพืช และโรคพืช

หากเป็นการปลูกจำนวนน้อย แนะนำให้ใช้เป็นสบู่กำมะถันที่จำหน่ายตามร้านทั่วไป หรือร้านขายยา ซึ่งการใช้สบู่ที่มีส่วนผสม สบู่ซัลเฟอร์ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะมีซัลเฟอร์ผสมอยู่ 2.5-3 % ซึ่งจะไม่ทำการระคายเคืองผิวเราได้ง่าย ให้นำสบู่ก้อนมาทำการหั่นเป็นฝอย ละลายน้ำ เป็นแบบเข้มข้น และผสมน้ำเพิ่ม เพื่อเจือจางเวลานำไปฉีดพ่น

ในกรณีที่ใช้ในปริมาณเยอะ สามารเลือกใช้ ผงกำมะถัน ที่มีจำหน่ายในร้านการเกษตรทั่วไป ที่จะมีชนิดผงละเอียด ละลายง่าย ไม่อุดตันหัวฉีด ผงกำมะถันนั้นจะไม่ละลายเข้ากับน้ำ หากเป็นกำมะถัน ชนิดผงหยาบ และต้องการนำไปใช้ ต้องผสมตัวทำละลาย หรือให้ผสมกับน้ำสบู่สูตรอ่อนๆ เพื่อให้น้ำกับกำมะถันเข้ากันได้ แล้วกรองส่วนที่ไม่ละลาย หรือเป็นผงก้อนใหญ่ เพื่อป้องกันการอุดตันหัวฉีด

การนำกำมะถันละลายนำไปใช้ควรผสมน้ำใช้แบบเจือจาง ซึ่งปริมาณการใช้ หรือเจือจางความเข้มข้นนั้นไม่มีตายตัว แนะนำให้ผสมอ่อนๆ ก่อนในการใช้ในครั้งแรก และค่อยปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันใบไหม้ หรืออาการเป็นพิษในพืช

ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.opsmoac.go.th/angthong-local_wisdom-preview-441591791910
https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/topic2/S.html

บทความที่เกี่ยวข้อง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ต้น “จันผา” ไม้ประดับ เลี้ยงง่าย ฟอร์มสวย แต่งสวนได้หลายสไตล์


จ้นผา ไม้ประดับที่นิยมนำมาแต่งสวนด้วย ลักษณะต้นไม้ที่มีฟอร์มต้นสวย และไม่ผลัดใบ อีกหนึ่งความพิเศษของจันผาคือ มีสรรพคุณทางยา มีฤทธิ์เย็น ใช้แก้ไข้ได้ ตามคติความเชื่อโบราณ หากปลูกแล้วออกดอก จะมีโชค

ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์นั้น จันผามีช่วงระยะการออกดอก เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ลักษณะของดอกนั้นจะเป็นพวกย้อย คล้ายโคมไฟแชงกาเรีย ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน หอมละมุนสดชื่น หากดอกมีการผสมเกสรก็จะติดผล เมื่อรอผลสุกเมล็ดสามารถนำไปขยายพันธุ์ได้ หรืออีกหนึ่งวิธีขยายพันธุ์ที่นิยมคือ การปาดให้แตกยอดใหม่ และนำกิ่งไปปักชำ












ต้นจันผานั้น มีหลากลายสายพันธุ์ และก็มีพืชบางต้นที่ลักษณะคล้ายกัน หรือเป็นพืชสกุลเดียวกับจันผา ( Dracaena ดราแคนน่า เป็นสกุลของต้นไม้ และไม้พุ่มอวบน้ำ ) โดยลักษณะสายพันธุ์จะหน้าตาแตกต่างกันไปตามภูมิภาค หรือถิ่นกำเนิด ในต่างประเทศจะมีชื่อเรียกว่า Dragon Tree สันนิษฐานได้ว่า น่าจะมาจะรูปร่างลักษณะของต้น ที่คล้ายหัวมังกรที่มีหลายหัวแตกออกมา

ไอเดียการแต่งสวนด้วย จันผา และต้นที่เป็นสกุลเดียวกับจันผา เหมาะกับการปลูกเป็นไม้ประธานประดับสวน ทุกสไตล์ ซึ่งเข้ากับ สวนหิน หรือสวนสไตล์ มินิมอล ได้ดี ด้วยต้นที่มีฟอร์มเรียบง่าย และมีเสน่ห์ที่โคนต้น เมื่อมีขนาดใหญ่หากเป็นการปลูกแบบลงดิน

ขอบคุณภาพไอเดียจาก : pinterest.com




ข้อควรรู้ในการปลูก ต้นจันผา

ต้นจันผา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ซึ่งสามารถมีอายุได้เป็น 100 ปี หากต้องการเลี้ยงให้ต้นมีขนาดใหญ่ ควรเป็นพื้นที่โล่งกว้าง แต่ถ้าหากต้องการปลูกแบบจำกัดสถานที่ให้ปลูกลงกระถาง แต่ต้องระวัง การวางกระถางบนดิน รากของต้นอาจจะชอนไชลงดินได้ ด้วยจันผาเป็นต้นไม้ที่หาน้ำ และอาหารเก่ง

และสิ่งสำคัญคือ ต้นจันผา ไม่ชอบดินแฉะ และถ้าบริเวณที่ปลูกเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ต้องกั้นแนวปลูก ถมสูง หรือทำคั้นดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นเน่า

วิธีการดูแล การปลูก

ต้นจันผา มีถิ่นกำเนิดมาจากป่า บริเวณที่เกิดจะอยู่ตามหน้าผาหิน ลักษณะราก จะมีรากแก้ว และรากฝอยจำนวนมากที่ช่วยเรื่องการยึดเกาะ และหาอาหาร รากฝอยจะเป็นรากเดินไปตามผิวดิน หากเจอพื้นที่แข็ง ที่เป็นหิน หรือปูน รากก็จะหลบ หาทางแทรก แต่ไม่ทำลายโครงสร้างของปูน สามารถตัดแต่งรากได้ ถ้ามีเยอะเกินไป

แต่ในการตัดแต่งรากนั้น ต้องระวังหากรากที่ตัดแผลไม่แห้งสนิท มีการอาการเน่า อาจทำให้เกิดการเน่าติดเชื้อ และลามสู้ต้นได้ ซึ่งการเน่าของจันผานั้น สังเกตได้ยาก เพราะด้วยลักษณะลำต้นเป็นเปลือกแข็ง ภายในลำต้นเป็นลักษณะคล้ายฟองน้ำ การเน่าที่เกิดภายใน จึงไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดจนกว่า จะมีการเน่าที่รุนแรง และลุกลามแล้ว วิธีแก้ปัญหา คือ ตัดส่วนที่เน่าออก และรักษาแผลให้แห้งสนิท โดยนิยมใช้ปูนแดงทาแผลเมื่อตัดส่วนที่เน่าทิ้งแล้ว

จันผา เป็นไม้ที่ชอบแดดจัด แต่สามารถเลี้ยงในที่แดดน้อยได้ ถ้าหากแสงที่ได้รับไม่เพียงพอฟอร์มต้นอาจไม่สมบูรณ์ ดินที่ใช้ปลูกควรเป็น ดินร่วนที่ระบบน้ำได้ดี ไม่อมน้ำ ไม่แฉะ หรือดินป่นทราย รดน้ำวันละ 1 ครั้ง หรือสามารถ อดน้ำได้นาน ด้วยเป็นต้นไม้ที่มีความถึกทน แต่ถ้าขาดน้ำนานเกินไป หรือแล้งเกิน ใบจะเหลืองแห้ง ใบลีบ ต้นไม่อวบ หากต้องการให้ต้นอวบสมบูรณ์ ใบเขียว มีช่อดอก ให้บำรุงด้วยปุ๋ย อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ปลูกต้นหอม จากหัวหอมแดง ปลูกง่าย งอกเร็ว ไม่ต้องดูแลเยอะ เก็บกินได้ตลอด


หอมแดง เป็นผักสวนครัว ที่มีติดคู่ครัวคนไทย ชนิดที่เรียกได้ว่า เป็นวัตถุดิบพื้นฐาน ใส่อาหารได้หลากหลายอย่าง แต่ที่พบปัญหาบ่อยคือ การเก็บรักษาที่จะคงคุณภาพให้สดใหม่ วิธีที่นิยมทำคือ ตาก และแขวนไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเท เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา แต่ถ้าทิ้งไว้นานหัวก็จะฝ่อ และแห้งจนไม่สามารถนำมาใช้ได้

วิธีเก็บที่จะทำให้ใช้ได้นาน คือ นำหัวหอมแดง ใส่ในถุงตาข่ายที่เป็นตาข่ายที่ตาห่าง เหมือนกับถุงใส่ส้มในท้องตลาด แล้วเก็บใส่ตู้เย็นในช่องแช่ผัก ก็จะทำให้หอมไม่เป็นราง่าย แต่ถ้าเก็บไว้นานมากเกินไป ก็จะมีใบงอกออกมา









และอีกหนึ่ง ข้อดีของการเก็บ หัวหอมแดงในตู้เย็นคือ จะช่วยลดอาการแสบตา ในขณะที่หั่นหัวหอม โดยให้ทำการหั่น ซอย ตอนที่เอาออกมาจากตู้เย็นใหม่ๆ และหอมแดงยังเย็น ความเย็นจะช่วยลดการระเหยตัวของแก๊สที่อยู่ในหอมแดง จึงทำให้เราไม่แสบตาตอนที่หั่น ซอยหอม

ส่วนการเก็บแบบระยะสั้น ที่มีการทยอยใช้เรื่อยๆ และสามารถค่อยๆ แบ่งไปปลูกเพื่อกินใบ หรือที่เราเรียกกันว่า ต้นหอม วิธีเก็บใส่กล่องที่รองด้วยกระดาษทิชชูอย่างหนา จะช่วยกระตุ้นการเกิดราก และทำให้เราค่อยๆ นำไปทยอยปลูกที่ละส่วน หรือถ้าต้องการนำไปปรุงอาหารก็แบ่งไปใช้ได้ วิธีนี้จะทำให้เรามีต้นหอมกินอย่างต่อเนื่องไม่มากไม่น้อยไป แต่ก็มีข้อควรระวังคือ การเก็บแบบนี้อาจจะยังมีโอกาสการเกิดเชื้อราได้ ต้องค่อยหมั่นเปิดดู หากมีเชื้อราให้รีบแยกออกมาจากกล่อง

วิธีเลือกหอมไปใช้
หากดูแล้วว่า หอมที่ปลูกไว้มีจำนวนเยอะพอใช้ ก็ให้เลือกนำต้นที่มีรากแล้ว นำไปใช้ก่อน แต่ถ้าต้นที่เราปลูกไว้เริ่มทยอยฝ่อ ไม่มีใบออก หรือไม่พอรับประทาน ก็ให้นำต้นที่มีรากแล้ว ไปปลูกต่อ และเลือกใช้ต้นที่ยังไม่มีรากประกอบอาหารแทน วิธีนี้จะช่วยให้เราจัดการได้ง่ายขึ้น

วิธีการปลูก และดูแล ศัตรูพืช

สิ่งสำคัญ ในการปลูกต้นหอม จากหัวหอมแดงก็คือ ดินที่โปร่ง และระบายน้ำได้ดี แต่ต้องเก็บความชื้นได้เหมาะสม เพราะถ้ามีความชื้นเยอะเกินไป หรือน้ำขัง จะทำให้หัวหอมเน่าได้ง่าย ทริคเล็กๆ ในการคุมความชื้นก็คือ ให้เลือกกระถางที่มีทรงสูง ด้านล่างให้รองด้วยหิน หรือหินภูเขาไฟก้อนใหญ่ การเลือกใช้กระถางทรงสูง และรองก้นกระถางให้สูง จะช่วยเรืองการระเหยความชื้นในดินให้ช้าลง การรดน้ำ ดูแลก็จะสะดวก และง่ายขี้น

ด้านบนให้ใช้ดินที่มีส่วนของเนื้อดินไม่ต้องมาก ให้เน้นผสมวัสดุปลูกที่เพิ่มความโปร่ง แต่ยังช่วยเก็บความชื้นของดิน เช่น เม็ดดินเผา หินภูเขาไฟ แกลบดิบเก่า หรือเปลือกพืชที่เป็นเมล็ดเปลือกแข็ง แต่ถ้าเลือกใช้เป็นวัสดุที่คงทน อย่าง เม็ดดินเผา หรือหินภูเขาไฟ ก็ทำให้เราไม่ต้องเปลี่ยนวัสดุบ่อย และลดการเกิดเชื้อราจากการย่อยสลายของวัตถุอินทรีย์อีกด้วย

เตรียมดินพร้อมแล้ว ก็แค่วางหัวหอมลงบนดิน โดยไม่ต้องขุดเป็นหลุม เพียงแค่เขี่ยรากให้ไม่ลอยเหนือดิน ตอนวางหอมแนะนำให้วางเรียงชิดกัน จะช่วยให้ใบที่ขึ้นมาไม่ล้มได้ง่าย และนำไปวางไว้ในที่ที่มีแสงแดด 80-90% หากแดดน้อยจะทำให้ใบซีดสีไม่มีสีเขียวสด

หากใช้เป็นกระถางสูง ให้รดน้ำประมาณ 2-3 วัน/ครั้ง แต่ถ้าหากช่วงไหนแดดแรงความชื้นระเหยเร็ว ให้ปรับการให้น้ำให้ถี่ขึ้น

การให้ปุ๋ย เน้นเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยน้ำฉีดพ่นทางใบ 2-3 วั้น / ครั้ง และปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยคอ่กที่หมักแล้ว ใส่อาทิตย์ละครั้ง ใบที่งอกมาก็จะใบหนา ใบอวบสมบูรณ์ และการใส่ปุ๋ยอย่างต่อเนื่องทำให้ดินมีธาตุอาหารตลอด เมื่อนำหัวใหม่มาปลูกก็จะทำให้งอกไว้ และสมบูรณ์

ศัตรูพืช หรือโรคที่ต้องระวัง หอยทากมักจะชอบมากัดกินหัวหอมแดง ต้องคอยหมั่นสังเกต ส่วนเรื่องโรค ไม่ค่อยมีโรคกวนใจเนื่องจากเป็นการปลูกพืชระยะสั้น แต่ต้องคอยระวังเรื่องเชื้อรา หากดินแฉะไป หรืออากาศไม่ถ่ายเท หากกังวลเรื่องเชื้อรา สามารถใช้ ไตรโคเดอร์ม่า แบบชนิดผง โรยหน้าดิน หรือผสมน้ำฉีดพ่น นอกจากจะช่วยป้องกันเชื้อราแล้ว ยังช่วยบำรุงอีกด้วย

ระยะเวลาปลูก และวิธีการเก็บเกี่ยว

โดยปกติแล้ว จะมีระยะเวลาต่างกันตามความพร้อมของหัวที่นำมาปลูก
• หากเพิ่งเริ่มมีรากงอก เป็นรากสั้นๆ อาจจะใช้เวลา 2-3 อาทิตย์
• ระยะหัวที่มีรากยาวแล้ว แต่ยังไม่มีใบงอก จะใช้ระยะเวลา 10-15 วัน
• ระยะหัวที่มีรากยาวแล้ว และมีใบงอกยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร จะใช้ระยะเวลา 7-10 วัน
จึงสามารถเก็บมารับประทานได้ ซึ่งความสมบูรณ์ของใบก็มีผลมาจากความสมบูรณ์ของหัวหอมแดงที่เราเลือกมาปลูกด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นตอนที่จะเลือกนำปลูกควรเลือกที่ หัวสมบูรณ์

การเก็บไปรับประทาน ไม่ต้องถอนหัวออก แต่ให้ตัดตรงที่งอกออกมาจากปลายหัว หรือโคนใบ เพราะหอม 1 หัวนั้น สามารถเก็บกินได้หลายครั้ง จนกว่าหัวจะฝ่อไม่สมบูรณ์

วีดีโอการปลูกต้นหอม จากหัวหอมแดง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

เชื้อรา ไตรโคเดอร์มา Trichoderma คืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง ?? และวิธีการใช้ควบคุมโรคพืช


ไตรโคเดอร์มา เป็นสิ่งมีชีวิต เชื้อราชั้นดีชนิดหนึ่ง ที่ถูกดึงเอามาใช้ในการเกษตรที่ไม่ต้องการใช้สารเคมี เพื่อป้องกัน และควบคุมโรคพืช ที่เกิดจากเชื้อราก่อโรค โดยให้เป็นกลไกการเข้าทำลายเชื้อราก่อโรคตามธรรมชาติ ซึ่งกระบวนการเข้าทำลาย แย่งอาหาร ขยายตัวครอบคลุมเชื้อราก่อโรค ส่งผลให้ผนังเซลล์ของเชื้อราก่อโรคถูกทำลาย และเชื้อราไตรโคเดอร์มาจะสร้าง และปลดปล่อยสารปฏิชีวนะออกมา ซึ่งสารนั้นมีคุณสมบัติในการยับยั้ง และทำลายเชื้อราก่อโรค

เชื้อราไตรเดอร์มานั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ อาทิเช่น Trichoderma Harzianum, Trichoderma Viride, Trichoderma Amatum แต่ที่นิยมใช้และมีการวิจัยว่า ทนต่อสภาพอากาศของประเทศไทย คือ Trichoderma Harzianum

ส่วนเชื้อราก่อโรคได้แก่

เชื้อรา พิเทียม ( Pythium ) เป็นสาเหตุของ โรคเน่าระดับดิน กล้ายุบ กล้าเน่า
เชื้อรา ฟิวซาเรียม ( Fusarium ) เป็นสาเหตุของ โรคเหี่ยว
เชื้อรา สเคลอโรเทียม ( Sclerotium rolfsii ) เป็นสาเหตุของ โรคโคนเน่า เหี่ยว
เชื้อรา ไรซอคโทเนีย ( Rhizoctonia ) เป็นสาเหตุของ โรคเน่าระดับดิน กล้าเน่า
เชื้อรา คอลเลโททริคัม ( Colletotrichum ) เป็นสาเหตุของ โรคใบจุด แอนแทรคโนส
เชื้อรา อัลเทอร์นาเรีย ( Alternaria ) เป็นสาเหตุของ โรคใบจุด ใบไหม้









การนำไปใช้งาน และประโยชน์ ของเชื้อรา “ไตรโคเดอมา”

“ไตรโคเดอร์มา” เป็นเชื้อราดี ที่ไม่มีอันตราย พืช คน และสัตว์ มีคุณสมบัติในการเข้าทำร้าย เชื้อราร้ายที่ก่อให้เกิดโรคกับพืช ไตรโคเดอร์มา มี 3 รูปแบบ คือ ชนิดผง ชนิดน้ำ และเชื้อสด

ารใช้งานหากต้องการให้ได้ผลดี จึงเป็นลักษณะการใช้เพื่อป้องก้น ก่อนการเกิดโรคต่างๆ หากในระยะที่ติดเชื้อ หรือเกิดโรคแล้วจะควบคุมได้ค่อนข้างยากกว่า ดังน้้นการใช้งานในช่วงที่ระบาดจึงต้องมีความถี่ และใช้ควบคู่กับการดูแลด้านอื่นๆ

  • ควบคุม ยับยั้ง เข้าทำลาย เชื้อราร้ายต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคกับพืช
  • กระตุ้น และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของพืชให้แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี
  • ช่วยย่อยสลาย อินทรีย์วัตถุในดิน เพื่อเพิ่มธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์
  • ปรับเปลี่ยนธาตุอาหารในดิน เพื่อให้อยู่ในรูปแบบที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ดี
  • ช่วยกระตุ้นให้พืชแข็งแรง ต้านทานโรค และมีผลผลิตที่ดี
  • ช่วยปรับโครงของดินที่ มีสภาวะดินเสื่อม ที่เเป็นสาเหตุให้พืชอ่อนแอ และเกิดโรคได้ง่าย

การใช้งาน
  • ใช้คลุกเมล็ดพันธุ์ เพื่อป้องกันโรคที่อาจติดมากับเมล็ดพันธุ์
  • รองก้นหลุม ที่ต้องการปลูกพืช
  • ผสมกับวัสดุปลูก ดินปลูก หรือปุ๋ยหมักต่างๆ
  • การฉีดพ่นตามใบ ต้น หรือดิน หรือรดโคนต้น
  • โรยหน้ากระถาง หว่านลงดิน หรือแปลงปลูก
ข้อจำกัดในการใช้งาน
  • ไม่ควรใช้งานในช่วงที่แสงแดดจัด อากาศร้อน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากเชื้อตาย
  • ก่อนใช้งาน รดน้ำให้ดินมีความชื้นพอเหมาะ หรือไม่แฉะจนเกินไป
  • ไม่ควรใช้งานร่วมกันกับสารเคมี เพราะอาจเข้าไปยับยั้ง หรือทำให้เชื้อตาย และหมดประสิทธิภาพได้ **หากมีความจำเป็นต้องใช้งานสารเคมี ควรเว้นระยะในช่วง 7-10 วัน ก่อน หรือหลังการใช้เชื่อราไตรโคเดอร์มา
  • ไม่ควรใช้กับการเพาะเห็ด เพราะเชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราที่กินเชื้อราเป็นอาหาร ( ซึ่งเห็ดเป็นพืชอยู่ในกลุ่มรา )

คำแนะนำสำคัญในการใช้คือ ไตรโครเดอร์มาเหมาะกับพืชที่ยังไม่แสดงอาการของโรค ใช้เพื่อป้องกันจะได้ประสิทธิภาพดีกว่าโดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่ ระยะเพาะเมล็ด การเตรียมต้นกล้าพืช

หากพืชแสดงอาการของโรคแล้ว ให้เพิ่มความถี่ในการใช้งาน แต่หากมีการระบาดรุนแรง อาจไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ทันท่วงที จึงจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นๆ เข้าร่วมด้วย

แต่ถึงแม้จะมีข้อจำกัดใดๆ หากเราป้องกันไว้ดี หรือดูแลสม่ำเสมอการเกิดโรคก็มีอัตราต่ำ และที่สำคัญคือ การลด หรือหยุดใช้สารเคมี นั้นจะส่งผลที่ดีในระยะยาวอย่างแน่นอน

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ทำไม?? หลังผสมดินปลูกแล้ว ควรพัก หมักบ่มดิน ก่อนใช้


ในการผสมดินปลูกพืช หรือต้นไม้ เป็นการนำอนินทรีย์วัตถุ และอินทรีย์วัตถุต่างๆ มาผสมกัน เพื่อให้เป็นธาตุอาหารแก่พืช ใช้ในการเจริญเติบโด โดยมีจุลินทรีย์ต่างๆ เกิดกิจกรรม การย่อย และปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาในดิน ซึ่งในระหว่างที่จุลินทรีย์เจอกับอาหาร และมีกระบวนการย่อยสลายนั้น จะทำให้เกิดก๊าซ และความร้อน รวมทั้งในจุลินทรีย์บางชนิด ต้องใช้ก๊าซในการดำรงชีวิต และย่อย เช่น ก๊าซออกซิเจน และไนโตรเจน

นั่นจึงเป็นสาเหตุ ที่เราควรจะต้องพักดินก่อนนำไปปลูก เพื่อป้องกันไม่ให้ในระหว่างการย่อยสลายของจุลินทรีย์ที่ยังไม่สมบูรณ์นั้น ทำให้เกิดสภาวะความร้อนในดินสูง จนทำให้รากไหม้ และโดนจุลินทรีย์แย่งออกซิเจน และไนโตรเจนในดิน ซึ่งกระบวนการย่อยสลายนั้น ใช้ระยะเวลาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุปลูกที่เลือกนำมาใช้เป็นส่วนผสม

หากเป็นพืชสด หรือซากพืช มูลสัตว์ ที่ยังมีการย่อยสลายไม่สมบูรณ์ จะต้องใช้ระยะเวลานาน กว่าจุลินทรีย์จะทำการย่อยสลายเสร็จสมบูรณ์ จนดินเย็นตัวพร้อมใช้งาน









ฉะนั้นหากต้องการลดระยะเวลาการหมักดินก็ควรเลือกปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักที่ผ่านการย่อยสลายมาแล้ว เช่น น้ำหมักจุลินทรีย์ต่างๆ มูลไส้เดือน ที่ได้จากการย่อยสลายมูลวัว และพักทิ้งไว้จนคลายก๊าซ และความร้อนแล้ว มูลค้างคาวเก่า ที่ผ่านการตกผลึกย่อยสลายทิ้งไว้จนก๊าซในมูลได้สลายตัวแล้ว หรือปุ๋ยหมักที่ผ่านการหมักจนเย็นตัว จะช่วยลดระยะเวลาการหมักบ่มดิน

ซึ่งระยะเวลาการพักหรือหมักบ่มดิน ที่มีส่วนผสมของอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายตัวดีแล้ว จะใช้ระยะเวลา 7-15 วัน อย่างต่ำ แต่ถ้าหากเป็น ปุ๋ยพืชสด หรือใบไม้พุที่ยังย่อยสลายไม่ดี จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และปริมาณจุลิทรีย์ที่มีอยู่ในดิน

และที่สำคัญ ในการหมักบ่มดินนั้น ควรจะต้องรักษาอุณหภูมิ และความชื้นให้เหมาะสม ในช่วงระยะแรกที่เป็นการหมักบ่มแบบปิด ควรให้ดินมีความชื้นสูง แต่ต้องไม่เปียกแฉะหรือประมาณ 60% เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของจุลินทรีย์ ซึ่งในช่วงนี้อุณหภูมิในดินจะสูงสุด เมื่อผ่านช่วงแรกที่กระตุ้นการขยายเชื้อแล้ว ให้หมักบ่ม แบบเปิด เพื่อมีอากาศหมุนเวียนในดิน และหมั่นคลุกกลับพลิกดิน เพื่อให้ออกซิเจนหมุนเวียนในดิน




ในการหมักสามารถทำได้ในหลากหลายพื้นที่ตามความสะดวก และเหมาะสม เช่น หากเป็นการปลูกลงดิน ให้หมักบนที่ที่จะใช้ปลูกได้เลย หมักใส่กระถางที่เราต้องการจะปลูก หมักใส่ภาชนะที่ปิด ข้อดีของการหมักในภาชนะที่ปิด ก็คือ ป้องกันโรค และแมลงได้ดี หรือจะหมักใส่กระสอบทิ้งไว้แล้วเก็บไว้ใช้นานๆ การหมักบ่มนาน ไม่ได้ส่งผลเสียใดๆ

วิธีเช็คเบื้องต้นว่า ดินพร้อมใช้งานแล้วหรือยัง??

ให้นำมือล้วงลงในดิน และดูว่าดินยังมีความร้อน หรืออุ่นอยู่หรือไม่ หากดินเย็นตัวลงแล้วก็พร้อมที่จะใช้งานได้

แล้วถ้าเราไม่หมักดิน ผสมเสร็จแล้วใช้เลย จะเกิดอะไรขึ้น??

สิ่งที่เห็นได้ภายนอกชัดเจนก็คือ ต้นอาจจะเหลือง หรือเหี่ยว ถ้าเป็นที่ระบบรากอาจจะไม่แสดงอาการชัด แต่จะทำให้ต้นหยุดชะงักการเจริญเติบโต เพราะดินมีความร้อน และรากไหม้ จากกิจกรรมการย่อยของจุลินทรีย์ที่ยังสมบูรณ์ ได้แย่งก๊าซในดินไปใช้ด้วย ซึ่งหากเราหมักบ่มดินได้ดี ต้นที่ปลูกใหม่นั้นจะงาม และเติบโตเร็ว จากธาตุอาหารที่จุลินทรีย์ได้ทำการย่อยให้เรียบร้อยแล้ว

ประโยชน์จากการหมักบ่มดิน ทำให้จุลินทรีย์ในดินหรืออินทรีย์วัตถุ ที่เราผสมเพิ่มทำงานสมบูรณ์ ดินก็จะร่วนซุยมีช่องว่าง ทำให้มีอากาศหมุนเวียนในดินได้ดี รากก็จะเดินดี จุลินทรีย์จะปลดปล่อยธาตุอาหารที่ได้จากการย่อยสลาย ซึ่งพืช หรือต้นไม้ดึงไปใช้ได้เลย ต้นก็จะฟื้นตัวเร็ว ไม่ชะงักการเจริญเติบโต

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

คุณสมบัติ ดินดี มีคุณภาพ ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง


การเตรียมดิน ดินปลูกพืช ดินปลูกต้นไม้ เป็นปัจจัยหลักในการทำให้ได้ต้นไม้ที่แข็งแรง ได้ผลผลิตดี และต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากการปลูกแล้ว สิ่งที่จะต้องดูแลแลทำต่อเนื่องคือ การรักษาสมดุลในดิน ให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช หรือต้นไม้

เพราะถ้าหากขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างต่อเนื่องแล้วนั้น สิ่งที่จะตามมาก็คือ สภาวะเสียสมดุลในดิน จนทำให้ค่า กรด-ด่างในดินไม่เหมาะกับพืช หรือต้นไม้ จนสุดท้ายอาจทำให้เกิดภาวะดินตาย หรือดินเสื่อมคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงกับพืช หรือต้นไม้ ทำให้เกิดการขาดธาตุอาหาร ขาดออกซิเจนในดินที่ส่งผลกับราก และทำให้ต้นอ่อนแอลง เกิดโรคได้ง่าย จนทำให้ต้นไม่สามารถเจริญเติบโต ผลิดอก ออกผล ได้ตามเกณฑ์ปกติ หรือยืนต้นตายในที่สุด









ในการเพาะปลูกพืช หรือต้นไม้ ในพื้นที่เดิม กระถางเดิม เป็นระยะเวลานาน ดินจะเสื่อมคุณภาพลง จากการที่ต้นดึงแร่ธาตุ และสารอาหารไปใช้อย่างต่อเนื่อง และอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลในระยะยาวของสภาวะดินเสื่อมก็คือ การใช้สารเคมีกับพืช และต้นไม้ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสารเคมีที่อยู่ในดินนั้น อยู่นานกว่าธรรมชาติจะปรับสภาพดิน หรือชะล้างออกไปได้ ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายปี และเมื่อถูกชะล้างแล้วยังส่งผลกระทบไปถึงระบบน้ำธรรมชาติในละแวกใกล้เคียงอีกด้วย

ดังนั้นการดูแล และบำรุงดิน โดยใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาตินั้นส่งผลดีกับดินทุกๆ ด้าน ในระยะยาวของระบบนิเวศ และต้วของผู้ปลูกเองด้วย

ซึ่งองค์ประกอบของดินที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืช หรือต้นไม้
ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ อนินทรีย์วัตถุ 45% น้ำ 25% อากาศ 25% อินทรีย์วัตถุ 5%

อนินทรีย์วัตถุ
อนินทรียวัตถุ หรือแร่ธาตุ เป็นส่วนที่สำคัญในการควบคุมลักษณะของเนื้อดิน เป็นแหล่งกำเนิดของธาตุอาหารพืช และเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีปริมาณมากที่สุดในดินทั่วไป ได้มาจากการผุพังสลายตัวของหินและแร่ อนินทรียวัตถุ อยู่ในดินในลักษณะของชิ้นส่วนที่เรียกว่า อนุภาคดิน ซึ่งมีหลายรูปทรงและมีขนาดแตกต่างกันไป

อินทรียวัตถุ
อินทรียวัตถุ ในที่นี้มีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ ส่วนของซากพืชซากสัตว์ที่กำลังสลายตัว จุลินทรีย์ ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และในส่วนที่ตายแล้ว ตลอดจนสารอินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลาย หรือถูกสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ได้รวมถึงรากพืช หรือเศษซากพืช หรือซากสัตว์ที่ยังไม่มีการย่อยสลาย

อินทรียวัตถุในดินนี้ เป็นแหล่งสำคัญของธาตุอาหารพืช เป็นแหล่งอาหาร และพลังงานของจุลินทรีย์ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน อีกทั้งยังเป็นส่วนที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกายภาพของดิน เช่น โครงสร้างดิน ความร่วนซุย การระบายน้ำ การถ่ายเทอากาศ การดูดซับน้ำ และธาตุอาหารของดิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่จะส่งต่อไปถึงพืช และต้นไม้

น้ำ
ส่วนของน้ำที่พบอยู่ในช่องว่างระหว่างอนุภาคดิน หรือเม็ดดิน มีความสำคัญมากต่อการปลูก และการเจริญเติบโตของพืช เนื่องจากเป็นตัวช่วยในการละลายธาตุอาหารต่างๆ ในดิน และเป็นส่วนสำคัญในการเคลื่อนย้ายอาหารพืชจากรากไปสู่ส่วนต่างๆ ของพืช

อากาศ
ส่วนของก๊าซต่างๆ ที่แทรกอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ในส่วนที่ไม่มีน้ำอยู่ ก๊าซที่พบโดยทั่วไปในดิน คือ ก๊าซไนโตรเจน (N2) ออกซิเจน (O2) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งรากพืช และจุลินทรีย์ดินใช้ในการหายใจ และสร้างพลังงานในการดำรงชีวิต

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : สำนักสำรวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน   กรมพัฒนาที่ดิน   กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

ขอบคุณคลิป : กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ทำไม!? ถึงจะต้องล้าง หรือหมัก กาบมะพร้าว ขุยมะพร้าว ก่อนนำมาใช้ปลูกต้นไม้


กาบมะพร้าวสับ ขุยมะพร้าว เป็นวัสดุปลูกที่ได้รับความนิยมนำมาใช้ปลูกต้นไม้ ด้วยคุณสมบัติการเก็บกักความชื้นได้ดี และช่วยเพิ่มความโปร่งให้กับดิน น้ำหนักเบา อีกทั้งยังเป็นวัสดุปลูกที่ราคาย่อมเยาว์ แต่การจะนำ กาบ หรือขุยมะพร้าวสับ มาใส่กับต้นไม้เลย โดยไม่ผ่านการล้างสาร แทนนิน ( Tannin ) ที่มีอยู่มากนั้น อาจจะทำให้ต้นไม้ของเรา ชะงักการเจริญเติบโต หรือใบเหลือง ต้นแคระ ใบไหม้ หรือหากแย่สุดก็อาจจะทำให้ต้นเฉาตายได้

สารแทนนิน ที่อยู่ในกาบมะพร้าว จะเห็นได้ชัดเมื่อนำกาบ หรือขุยมะพร้าวไปแช่น้ำ จะเห็นสีน้ำตาลแดงๆ ออกมาจากกากมะพร้าว









ซึ่งการจะล้างสารแทนนิน ในกาบ หรือขุยมะพร้าว นั้นต้องใช้ระยะเวลา 3-5 วัน โดยนำ กาบหรือขุยมะพร้าว แช่น้ำทิ้งไว้ และเปลี่ยนน้ำในทุกๆ วัน เราจะสังเกตได้ว่า สีน้ำตาลแดง ( สารแทนนิน ) ในน้ำจะค่อยๆ จางและลดลง จนน้ำใสขึ้นเรื่อยๆ จึงนำมาใช้ปลูกต้นไม้ได้

วิธีการแช่แบบธรรมชาติ สามารถทำได้โดยนำกาบมะพร้าวใส่กระสอบที่น้ำสามารถซึมเข้าได้ มัดปากกระสอบและนำไปลอยในแม่น้ำที่เป็นน้ำจืด ทิ้งไว้สัก 1 สัปดาห์จึงนำมาใช้ปลูกต้นไม้

หากสถานที่ไม่เหมาะ หรือไม่สะดวก ที่จะทำการล้างสารแทนนิน ก็ควรเลือกใช้ขุยมะพร้าวที่ผ่านกรรมวิธีล้างสาร และปรับค่า PH ให้พร้อมใช้แล้ว แบบได้มาตราฐาน ที่มีจำหน่ายตามท้องตลาด

ขอบคุณคลิป : Youtube / chanel : ครูสวัสดิ์พาทํา ทําไปเรื่อย

อีกหนึ่งวิธีที่จะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับกาบมะพร้าว ของเราให้เป็นวัสดุปลูกที่มีประโยชน์ ก็คือการนำไปหมัก กับจุลินทรีย์ หรือมูลสัตว์ เพื่อให้เกิดกระบวนการย่อยสลาย และเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในกาบ หรือขุยมะพร้าว ซึ่งในการหมักนั้น สามารถใช้น้ำหมักได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น EM, จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง, น้ำมูลไส้เดือน, น้ำหมักชีวภาพ มูลวัว โดยการหมักสามารถหมักใส่ถังโดย หมักกับน้ำหมัก มูลวัว หรือจะผสมดินปลูกลงไปด้วย และหมักแบบฝั่งไว้ในดิน

ในช่วงที่หมักระยะแรก หากหมักในถังควรจะต้องคอยเปิดฝาถังเป็นระยะๆ เพื่อระบายความร้อนที่เกิดจากการย่อยสลาย และเพิ่มออกซิเจนเข้าไปในถัง เพื่อให้จุลินทรีย์เติบโตได้ดี แต่ถ้าเป็นการหมักแบบฝั่งดิน สามารถปล่อยได้เลย เพราะเป็นระบบธรรมชาติ ที่จะมีการหมุนเวียนของอากาศอยูแล้ว

โดยระยะเวลาการหมัก ให้สังเกตจากเนื้อกาบ หรือขุยมะพร้าวเป็นหลัก หากมีความนุ่มลง และสีเข้มขึ้นเป็นอันใช้ได้

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

มือใหม่ เริ่มสนใจปลูก กระบองเพชร (แคคตัส) ไม้อวบน้ำ ต้องเริ่มยังไง??


สิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในการเริ่มปลูก กระบองเพชร คือ การเริ่มเรียนรู้ในสกุล และชนิด ของกระบองเพชร กระบองเพชรนั้นมีหลายสกุล ในแต่ละสกุล มีแตกแยกย่อยไปอีกหลายชนิด การเลี้ยงดูนั้นมีความยาก และง่าย ยังมีต่างกันไปอีกด้วย

ดังนั้นหากจะเริ่มเลี้ยงควรเลือกที่เลี้ยงดูได้ง่ายๆ ซึ่งสกุลที่เลี้ยง และดูแลได้ง่ายๆ อาทิเช่น ยิมโนคาไลเซียม ( Gymnocalycium ) อิชินอปซิส ( Echinopsis ) โอพันเทีย ( opuntia ) แมมมิลลาเรีย ( mammillaria ) บางชนิด

ลำดับต่อมาคือการให้น้ำ สภาพแวดล้อม และวัสดุปลูก ด้วยกระบองเพชรไม่ใช่ไม้ที่มีถิ่นกำเนิดในบ้านเรา ฉะนั้น ดิน สภาพแวดล้อม ก็ควรจะให้ใกล้เคียงกับถิ่นกำเนิดของกระบองเพชร ที่เป็นที่แห้งแล้ง ความชื้นไม่มาก แสงแดดเพียงพอตลอดทั้งวัน ดินที่ใช้ปลูกไม่อุ้มน้ำมาก น้ำไม่ขัง









ลักษณะโดยพื้นฐานของกระบองเพชร ตัวต้นจะมีหลากหลายลักษณะตามสายพันธุ์ ต้นเป็นฟอร์ม ตอสูง กลมแตกหน่อเป็นพุ่ม หรือเป็นหัวเดียว มีทั้งมีหนาม และไม่มีหนาม ลักษณะของหนาม มีทั้งเป็นหนามแข็งแหลม คม และขนหนามแบบอ่อนนุ่ม ลักษณะของราก ทั้งที่รากเป็นฝอย หรือมีลักษณะเป็นโขด

มีดอกเพื่อใช้ในการสืบพันธุ์ แต่ละสกุลจะให้ดอกยากง่ายแตกต่างกัน สีของดอกมีทั้ง ขาว ชมพู แดง ส้ม เหลือง ม่วง แล้วแต่สกุล ส่วนใหญ่ดอกบานในตอนกลางวัน ช่วงเที่ยง-บ่าย และหุบในตอนกลางคืน และมีบางสกุลดอกบานในตอนกลางคืน และโรยในตอนเที่ยง

การขยายพันธุ์ คือ การผสมเกสรจนติดฝัก และนำไปเพาะเมล็ด แต่จะมีบางสกุล ที่สามารถชำหน่อได้

อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเลี้ยงคือ โรค และอาการป่วย โดยหลักๆ โรคและอาการป่วยของกระบองเพชรนั้น เกิดได้จาก 2 ปัจจัยคือ สภาพแวดล้อม และแมลง ศัตรูพืช ที่พบบ่อย อาทิเช่น ไร, เพลี้ย, รา ในการรักษาก็มีหลายวิธี โดยจะมีตัวยาที่เป็นสารเคมี หรือจุลินทรีย์ที่นำมาใช้แตกต่างกันไป

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา