
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือ แบคทีเรียสังเคราะห์แสง ที่เราอาจจะเห็นได้ตามบ้านที่นำขวดที่มีน้ำสีแดงๆ มาวางตากแดดไว้ตามบ้าน หรือสวน ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีในการทำสวน ปลูกต้นไม้ แถมยังต้นทุนต่ำในการผลิต ทำจำนวนได้เยอะ ใช้วัตถุดิบน้อย และหาได้ง่าย จุลทรีย์สังเคราะห์แสง ถูกนำมาใช้ในการเกษตรอย่างแพร่หลาย จากต้นกำเนิดที่เริ่มมีการนำมาใช้คือ ประเทศญี่ปุ่น นิยมใช้ในนาข้าว เพื่อช่วยเรื่องการป้องกันการเน่าเสียของน้ำที่ขัง และยังเป็นการช่วยบำรุงดิน และพืชด้วย ซึ่งตอนนี้ได้รับความสนใจในหลายประเทศ และนิยมทำใช้กันแพร่หลาย
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร?
จุลินทรีย์ในกลุ่มแบคทีเรีย photosynthetic bacteria เป็นแบคทีเรียที่สามารถสร้างอาหารได้เองจากการสังเคราะห์แสงในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน มีอยู่ 2 กลุ่มหลัก คือ แบคทีเรียสีม่วง ( purple photosynthetic bacteria ) และแบคทีเรียสีเขียว ( green photosynthetic bacteria ) โดยที่นิยมนำมาใช้ คือ แบคทีเรียสีม่วง ซึ่งจะพบได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ในชั้นที่ลึกลงไปจนมีออกซิเจนต่ำ หรือในนาเกลือ
การเกิดแบคทีเรียในทะเลสาบประเทศแคนนาดา เป็นทะเลสาบมีความเค็มสูง
ขอบคุณวีดีโอ : Youtube Chanel : Rambles With Robin and Ruby
โดยประโยชน์ในการใช้งานนั้นแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ เป็นการได้ธาตุอาหารที่พืชนำไปใช้ได้จากกิจกรรมของจุลินทรีย์ และปุ๋ยที่ได้จากเซลล์ที่ตายแล้วของจุลินทรีย์ ซึ่งประโยชน์หลักที่ได้คือ รูปแบบการตรึงไนโตรเจนในอากาศ เพื่อให้พืชนำไปใช้ได้ การย่อยสลายฟอสฟอรัส อินทรีย์วัตถุ ให้อยู่ในรูปแบบที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ และยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโน โปรตีนที่จำเป็นต่อพืช และนอกจากจะนำมาใช้ในการเกษตรแล้ว ยังนิยมนำไปใช้ในปศุสัตว์ เช่น ผสมอาหารสัตว์ การนำไปบำบัตน้ำเสียจากคอกที่มีมูลสัตว์จำนวนมาก จนเป็นแหล่งสะสมของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือ ก๊าซไข่เน่า เพื่อลดกลิ่น หรือการบำบัดน้ำเสียในบ่อปลา บ่อกุ้ง และช่วยทำให้กุ้งแข็งแรงต้านทานโรคได้ดี
ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตต่างๆ นั้นต้องการจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์เพื่อรักษาสมดุล ในคนนิยมบริโภคอาหารที่มีจุลินทรีย์เ เช่น แลคโตบาซิลลัส โพรไบโอติกส์ ในพืชเองก็ต้องการใช้กิจกรรมของจุลินทรีย์เพื่อประโยชน์ในการเจริญเติบโต เสริมภูมิต้านทานเช่นกัน
จุลินทรีย์สังเคราะห์ต้องทำยังไง ต้องเตรียมอะไรบ้าง?
การทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง สามารถทำได้ 2 รูปแบบคือ แบบที่ไม่มีหัวเชื้อ กับต่อขยายเชื้อจากหัวเชื้อเดิม ซึ่งขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ และการทำเหมือนกัน ต่างกันเพียงแค่เติมหัวเชื้อที่มีการขยายเชื้อไว้แล้ว เพื่อลดระยะเวลา หรือลดความเสี่ยงที่น้ำจากแหล่งน้ำที่นำมาทำ มีเชื้อจุลินทรีย์ไม่เพียงพอที่จะนำมาขยายเชื้อ โดยหลักการการทำจุลินทรีย์สังเคราห์แสงคือ การนำน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่คาดว่าน่าจะมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ มาเลี้ยงต่อขยายเชื้อ โดยใส่อาหารให้เพื่อเพิ่มปริมาณของเชื้อจุลินทรีย์ให้มีจำนวนมากขึ้น
ข้อควรระวังที่สำคัญคือ ควรมั่นใจว่าแหล่งน้ำที่นำมาใช้ในการทำนั้นสะอาด ไม่มีการปนเปื้อนเชื้อของแบคทีเรียที่ไม่ดี เช่น Leptospirosis ที่เป็นเชื้อก่อโรคฉี่หนู

สิ่งที่ต้องเตรียม
- ภาชนะบรรจุ ควรเป็นขวดใสที่แสงสามารถส่องถึงได้ดี และมีความยืดหยุ่น ทนต่อแก๊สได้ เช่น ขวดน้ำอัดลม
- น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำฝน หรือน้ำประปาที่ผ่านการพักทิ้งไว้ 3-5 คืน ( หากใช้น้ำประปามาทำเลยจะมีโอกาสที่เชื้อจะไม่ขยายและตายได้ จากคลอรีนในน้ำประปา )
- หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงที่มีความเข้มข้น
- อาหารที่ใช้ในการเลี้ยงขยายเชื้อ โดยเน้นเป็นอาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ไก่สด นม โยเกิร์ต กะปิ เปลือกไข่บดละเอียด และอาจเสริมด้วยตัวกระตุ้นเร่งปฏิกิริยา เช่น เกลือ น้ำตาล น้ำปลา กะปิ ผงชูรส ซึ่งสามารถใช้ได้ตามสะดวกที่สามารถหาได้ ซึ่งข้อดีของการใส่เปลือกไข่ป่น จะช่วยให้จุลินทรีย์เก็บได้นานขึ้น ด้วยจุลินทรีย์จะค่อยย่อยเปลือกไข่เป็นอาหารได้อย่างช้าๆ และต่อเนื่อง และยังทำให้ได้น้ำที่มีเชื้อเข้มข้นขึ้นด้วย หากทิ้งไว้เป็นเวลานาน
โดยส่วนผสมที่นิยมใช้ทำอาหารเพาะเชื้อได้แก่ ไข่ไก่ ผสมน้ำปลา ผงชูรส โดยสูตรนี้อาหารหลักที่ไข่ไก่ และมีน้ำปลา และผงชูรสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หรือหากใครไม่รีบ และใช้การขยายเชื้อแบบต่อเนื่อง จะใช้แค่ นม ซึ่งสามารถใช้เป็นนมที่หมดอายุได้ ผสมเข้ากับเปลือกไข่ ก็สามารถใช้ได้ แต่อาจจะใช้เวลาขยายเชื้อนาน

วิธีการทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง แบบต่อขยายเชื้อ
- เตรียมน้ำที่จะใช้เพาะเชื้อโดยใส่ให้เหลือพื้นที่เพื่อใส่หัวเชื้อ และเว้นที่ให้แก๊สเพื่อกันการดันของแก๊ส ที่จะทำให้น้ำล้น หรือซึมออกได้ เช่น หากใช้ขวดน้ำปริมาณ บรรจุ 1 ลิตร (1,000 มิลลิลิตร ) จะใช้น้ำประมาณ 400-500 มิลลิลิตร
- ใส่อาหารที่เตรียมลงไป และเขย่าให้อาหารกับน้ำผสมเข้ากัน โดยปริมาณของอาหาร ควรใช้ 1-2/4 ของปริมาณเชื้อที่ต้องการต่อขยายเชื้อ


- ใส่หัวเชื้อที่เตรียมไว้ และเขย่าทั่งหมดให้เข้ากันอีกครั้ง ซึ่งปริมาณการใส่หัวเชื้อนั้นไม่มีปริมาณตายตัว เนื่องจากเราไม่ทราบถึงปริมาณจำนวนจุลินทรีย์ที่แน่นอนเพราะไม่มีเครื่องวัด หรือตรวจนับปริมาณเชื้อที่มีอยู่ ที่จะสามารถระบุความหนาแน่นของเชื้อได้ ให้กะปริมาณใส่ให้เหมาะสมกับอาหาร โดย หัวเชื้อที่ใช้ ประมาณ 3-5 เท่า ของปริมาณอาหารที่เราใส่
- นำขวดที่ผสมเรียบร้อยแล้ว วางไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง อุณหภูมิไม่สูงมาก อุณหภูมิที่เชื้อจะขยายได้ดีอยู่ 35-50 องศา โดยประมาณ

สัดส่วนการผสมขยายเชื้อ เช่น ขวดน้ำ 1 ลิตร (1,000 มิลลิลิตร ) จะใช้น้ำประมาณ 400-500 มิลลิลิตร ใส่อาหาร ปริมาณ 50 มิลลิลิตร เท่ากับ จะใช้หัวเชื้อประมาณ 150-250 มิลลิลิตร หากหัวเชื้อเข้มข้นก็สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม
สิ่งสำคัญคือ หากเรากะปริมาณอาหาร และเชื้อได้พอเหมาะกัน อาหารไม่เยอะเกินจนเชื้อไม่เดิน ระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ น้ำที่เป็นสีขาวขุ่นจะเริ่มเป็นสีแดง แต่ถ้าพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง อาจะเป็นเพราะเราใส่อาหารเยอะเกินที่จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่จะสามารถจัดการได้ อาจจะใช้เวลานานกว่าเชื้อจะขยาย จนน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง วิธีแก้ไขในคือ ให้แบ่งน้ำที่ผสมไว้ออกใส่ขวดใหม่ แล้วเติมน้ำ และหัวเชื้อเข้าไปเพิ่ม
และในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการทำ จะเกิดแก๊สในขวด จนทำให้ขวดแข็งตัวแน่น ให้เราเขย่าและเปิดฝาเพื่อปล่อยแก๊สออกทุก 2-3 วัน
หลักการทำจุลินทรีย์สังเคราะห์คือ ทำให้น้ำเน่าเสียจากโปรตีน ในสภาพวะที่ขาดออกซิเจน จนเกิดเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ทำให้จุลินทรีย์เกิดกิจกรรม และขยายตัวแบ่งเซลล์เพิ่มได้เร็ว
เราจะนำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ไปใช้งานได้เมื่อไหร่ และใช้อย่างไร?
โดยปกติแล้ว ระยะเวลาไม่มีจำกัดแน่นนอน แต่ให้ดูจากการทำงานของจุลินทรีย์ เพราะถ้าหากกระบวนการย่อยสลายไม่สมบูรณ์ดีแล้ว นำไปใช้นั้นจะกลายเป็นพิษต่อพืชทันที เพราะมีความเป็นกรด ความร้อน และแก๊สอยู่สูงที่เกิดจากกิจกรรมการย่อยสลายของจุลินทรีย์ ซึ่งจะส่งผลให้พืช ต้นเหลือง ใบไหม้ รากไหม้ได้

วิธีเช็คว่าจุลินทรีย์สังเคราะห้แสง พร้อมใช้งานได้แล้วหรือยัง ทำได้โดย ดูจากสีที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม และเช็คปริมาณแก๊สที่มีอยู่ขวด โดยการเขย่า หากยังเกิดฟองมาก และมีปริมาณฟองผุดขึ้นมาตลอด แสดงว่ากระบวนการย่อยสลายยังไม่สมบูรณ์ ให้เปิดฝาคลายแก๊สออก และทิ้งไว้ ก่อนจะมาเช็คใหม่อีกครั้ง และเมื่อเขย่าลองเขย่าแล้วมีฟองเพียงเล็กน้อยที่ลอยตัวอยู่บนน้ำ แต่ไม่มีแก๊สที่ผุดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ เป็นอันว่า จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงของเราพร้อมนำไปใช้งานแล้ว
การนำไปใช้งานนั้น สามารถใช้ได้ทั้งฉีดพ่น และรดลงดิน แต่วิธีที่แนะนำคือ รดลงดินจะได้ผลโดยตรงกับพืชมากกว่า โดยทำการเจือจางด้วยการผสมจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงกับน้ำ 15-20 เท่า รดลงในดิน หลังจากที่รดน้ำแล้วให้ดินมีชุ่มชื้นพอประมาณ ไม่ควรรดในดินที่แห้ง ใช้ทุก 10-20 วัน ครั้ง หรือใช้ก่อนที่จะให้ปุ๋ยบำรุงส 1-2 วัน โดยประมาณ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ย ให้พืชดูดซึม และนำไปใช้ได้ดี
การทดลองจำลองการเกิดจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงในธรรมชาติ
ขอบคุณวีดีโอ : Youtube Chanel : DIY Microbiology
ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลอ้างอิงบทความ
https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/snet4/june22/bacte2.html
https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/KPS_AGRI/search_detail/dowload_digital_file/20011576/151406
https://ej.eric.chula.ac.th/article/view/291




















































































































































































































