ทำตัวช่วย” ประหยัดปุ๋ย บำรุงดิน ” ด้วยงบหลักสิบ กับจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง


จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือ แบคทีเรียสังเคราะห์แสง ที่เราอาจจะเห็นได้ตามบ้านที่นำขวดที่มีน้ำสีแดงๆ มาวางตากแดดไว้ตามบ้าน หรือสวน ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ดีในการทำสวน ปลูกต้นไม้ แถมยังต้นทุนต่ำในการผลิต ทำจำนวนได้เยอะ ใช้วัตถุดิบน้อย และหาได้ง่าย จุลทรีย์สังเคราะห์แสง ถูกนำมาใช้ในการเกษตรอย่างแพร่หลาย จากต้นกำเนิดที่เริ่มมีการนำมาใช้คือ ประเทศญี่ปุ่น นิยมใช้ในนาข้าว เพื่อช่วยเรื่องการป้องกันการเน่าเสียของน้ำที่ขัง และยังเป็นการช่วยบำรุงดิน และพืชด้วย ซึ่งตอนนี้ได้รับความสนใจในหลายประเทศ และนิยมทำใช้กันแพร่หลาย

จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร?

จุลินทรีย์ในกลุ่มแบคทีเรีย photosynthetic bacteria เป็นแบคทีเรียที่สามารถสร้างอาหารได้เองจากการสังเคราะห์แสงในสภาวะที่ไม่มีออกซิเจน มีอยู่ 2 กลุ่มหลัก คือ แบคทีเรียสีม่วง ( purple photosynthetic bacteria ) และแบคทีเรียสีเขียว ( green photosynthetic bacteria ) โดยที่นิยมนำมาใช้ คือ แบคทีเรียสีม่วง ซึ่งจะพบได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ ในชั้นที่ลึกลงไปจนมีออกซิเจนต่ำ หรือในนาเกลือ









การเกิดแบคทีเรียในทะเลสาบประเทศแคนนาดา เป็นทะเลสาบมีความเค็มสูง
ขอบคุณวีดีโอ : Youtube Chanel : Rambles With Robin and Ruby

โดยประโยชน์ในการใช้งานนั้นแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ เป็นการได้ธาตุอาหารที่พืชนำไปใช้ได้จากกิจกรรมของจุลินทรีย์ และปุ๋ยที่ได้จากเซลล์ที่ตายแล้วของจุลินทรีย์ ซึ่งประโยชน์หลักที่ได้คือ รูปแบบการตรึงไนโตรเจนในอากาศ เพื่อให้พืชนำไปใช้ได้ การย่อยสลายฟอสฟอรัส อินทรีย์วัตถุ ให้อยู่ในรูปแบบที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ และยังอุดมไปด้วยกรดอะมิโน โปรตีนที่จำเป็นต่อพืช และนอกจากจะนำมาใช้ในการเกษตรแล้ว ยังนิยมนำไปใช้ในปศุสัตว์ เช่น ผสมอาหารสัตว์ การนำไปบำบัตน้ำเสียจากคอกที่มีมูลสัตว์จำนวนมาก จนเป็นแหล่งสะสมของก๊าซไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือ ก๊าซไข่เน่า เพื่อลดกลิ่น หรือการบำบัดน้ำเสียในบ่อปลา บ่อกุ้ง และช่วยทำให้กุ้งแข็งแรงต้านทานโรคได้ดี

ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ พืช สิ่งมีชีวิตต่างๆ นั้นต้องการจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์เพื่อรักษาสมดุล ในคนนิยมบริโภคอาหารที่มีจุลินทรีย์เ เช่น แลคโตบาซิลลัส โพรไบโอติกส์ ในพืชเองก็ต้องการใช้กิจกรรมของจุลินทรีย์เพื่อประโยชน์ในการเจริญเติบโต เสริมภูมิต้านทานเช่นกัน

จุลินทรีย์สังเคราะห์ต้องทำยังไง ต้องเตรียมอะไรบ้าง?

การทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง สามารถทำได้ 2 รูปแบบคือ แบบที่ไม่มีหัวเชื้อ กับต่อขยายเชื้อจากหัวเชื้อเดิม ซึ่งขั้นตอนการเตรียมวัตถุดิบ และการทำเหมือนกัน ต่างกันเพียงแค่เติมหัวเชื้อที่มีการขยายเชื้อไว้แล้ว เพื่อลดระยะเวลา หรือลดความเสี่ยงที่น้ำจากแหล่งน้ำที่นำมาทำ มีเชื้อจุลินทรีย์ไม่เพียงพอที่จะนำมาขยายเชื้อ โดยหลักการการทำจุลินทรีย์สังเคราห์แสงคือ การนำน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติที่คาดว่าน่าจะมีจุลินทรีย์อาศัยอยู่ มาเลี้ยงต่อขยายเชื้อ โดยใส่อาหารให้เพื่อเพิ่มปริมาณของเชื้อจุลินทรีย์ให้มีจำนวนมากขึ้น

ข้อควรระวังที่สำคัญคือ ควรมั่นใจว่าแหล่งน้ำที่นำมาใช้ในการทำนั้นสะอาด ไม่มีการปนเปื้อนเชื้อของแบคทีเรียที่ไม่ดี เช่น Leptospirosis ที่เป็นเชื้อก่อโรคฉี่หนู

สิ่งที่ต้องเตรียม

  1. ภาชนะบรรจุ ควรเป็นขวดใสที่แสงสามารถส่องถึงได้ดี และมีความยืดหยุ่น ทนต่อแก๊สได้ เช่น ขวดน้ำอัดลม
  2. น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ น้ำฝน หรือน้ำประปาที่ผ่านการพักทิ้งไว้ 3-5 คืน ( หากใช้น้ำประปามาทำเลยจะมีโอกาสที่เชื้อจะไม่ขยายและตายได้ จากคลอรีนในน้ำประปา )
  3. หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงที่มีความเข้มข้น
  4. อาหารที่ใช้ในการเลี้ยงขยายเชื้อ โดยเน้นเป็นอาหารที่มีโปรตีน เช่น ไข่ไก่สด นม โยเกิร์ต กะปิ เปลือกไข่บดละเอียด และอาจเสริมด้วยตัวกระตุ้นเร่งปฏิกิริยา เช่น เกลือ น้ำตาล น้ำปลา กะปิ ผงชูรส ซึ่งสามารถใช้ได้ตามสะดวกที่สามารถหาได้ ซึ่งข้อดีของการใส่เปลือกไข่ป่น จะช่วยให้จุลินทรีย์เก็บได้นานขึ้น ด้วยจุลินทรีย์จะค่อยย่อยเปลือกไข่เป็นอาหารได้อย่างช้าๆ และต่อเนื่อง และยังทำให้ได้น้ำที่มีเชื้อเข้มข้นขึ้นด้วย หากทิ้งไว้เป็นเวลานาน

    โดยส่วนผสมที่นิยมใช้ทำอาหารเพาะเชื้อได้แก่ ไข่ไก่ ผสมน้ำปลา ผงชูรส โดยสูตรนี้อาหารหลักที่ไข่ไก่ และมีน้ำปลา และผงชูรสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา หรือหากใครไม่รีบ และใช้การขยายเชื้อแบบต่อเนื่อง จะใช้แค่ นม ซึ่งสามารถใช้เป็นนมที่หมดอายุได้ ผสมเข้ากับเปลือกไข่ ก็สามารถใช้ได้ แต่อาจจะใช้เวลาขยายเชื้อนาน

ส่วนลด !! พิเศษ สูงสุด 50% ช้อปเลย..

วิธีการทำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง แบบต่อขยายเชื้อ

  • เตรียมน้ำที่จะใช้เพาะเชื้อโดยใส่ให้เหลือพื้นที่เพื่อใส่หัวเชื้อ และเว้นที่ให้แก๊สเพื่อกันการดันของแก๊ส ที่จะทำให้น้ำล้น หรือซึมออกได้ เช่น หากใช้ขวดน้ำปริมาณ บรรจุ 1 ลิตร (1,000 มิลลิลิตร ) จะใช้น้ำประมาณ 400-500 มิลลิลิตร
  • ใส่อาหารที่เตรียมลงไป และเขย่าให้อาหารกับน้ำผสมเข้ากัน โดยปริมาณของอาหาร ควรใช้ 1-2/4 ของปริมาณเชื้อที่ต้องการต่อขยายเชื้อ
  • ใส่หัวเชื้อที่เตรียมไว้ และเขย่าทั่งหมดให้เข้ากันอีกครั้ง ซึ่งปริมาณการใส่หัวเชื้อนั้นไม่มีปริมาณตายตัว เนื่องจากเราไม่ทราบถึงปริมาณจำนวนจุลินทรีย์ที่แน่นอนเพราะไม่มีเครื่องวัด หรือตรวจนับปริมาณเชื้อที่มีอยู่ ที่จะสามารถระบุความหนาแน่นของเชื้อได้ ให้กะปริมาณใส่ให้เหมาะสมกับอาหาร โดย หัวเชื้อที่ใช้ ประมาณ 3-5 เท่า ของปริมาณอาหารที่เราใส่
  • นำขวดที่ผสมเรียบร้อยแล้ว วางไว้ในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง อุณหภูมิไม่สูงมาก อุณหภูมิที่เชื้อจะขยายได้ดีอยู่ 35-50 องศา โดยประมาณ

สัดส่วนการผสมขยายเชื้อ เช่น ขวดน้ำ 1 ลิตร (1,000 มิลลิลิตร ) จะใช้น้ำประมาณ 400-500 มิลลิลิตร ใส่อาหาร ปริมาณ 50 มิลลิลิตร เท่ากับ จะใช้หัวเชื้อประมาณ 150-250 มิลลิลิตร หากหัวเชื้อเข้มข้นก็สามารถปรับได้ตามความเหมาะสม

สิ่งสำคัญคือ หากเรากะปริมาณอาหาร และเชื้อได้พอเหมาะกัน อาหารไม่เยอะเกินจนเชื้อไม่เดิน ระยะเวลา 1-2 สัปดาห์ น้ำที่เป็นสีขาวขุ่นจะเริ่มเป็นสีแดง แต่ถ้าพบว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลง อาจะเป็นเพราะเราใส่อาหารเยอะเกินที่จำนวนเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่จะสามารถจัดการได้ อาจจะใช้เวลานานกว่าเชื้อจะขยาย จนน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง วิธีแก้ไขในคือ ให้แบ่งน้ำที่ผสมไว้ออกใส่ขวดใหม่ แล้วเติมน้ำ และหัวเชื้อเข้าไปเพิ่ม

และในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกของการทำ จะเกิดแก๊สในขวด จนทำให้ขวดแข็งตัวแน่น ให้เราเขย่าและเปิดฝาเพื่อปล่อยแก๊สออกทุก 2-3 วัน

หลักการทำจุลินทรีย์สังเคราะห์คือ ทำให้น้ำเน่าเสียจากโปรตีน ในสภาพวะที่ขาดออกซิเจน จนเกิดเป็นอาหารของจุลินทรีย์ ทำให้จุลินทรีย์เกิดกิจกรรม และขยายตัวแบ่งเซลล์เพิ่มได้เร็ว

เราจะนำจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ไปใช้งานได้เมื่อไหร่ และใช้อย่างไร?

โดยปกติแล้ว ระยะเวลาไม่มีจำกัดแน่นนอน แต่ให้ดูจากการทำงานของจุลินทรีย์ เพราะถ้าหากกระบวนการย่อยสลายไม่สมบูรณ์ดีแล้ว นำไปใช้นั้นจะกลายเป็นพิษต่อพืชทันที เพราะมีความเป็นกรด ความร้อน และแก๊สอยู่สูงที่เกิดจากกิจกรรมการย่อยสลายของจุลินทรีย์ ซึ่งจะส่งผลให้พืช ต้นเหลือง ใบไหม้ รากไหม้ได้

วิธีเช็คว่าจุลินทรีย์สังเคราะห้แสง พร้อมใช้งานได้แล้วหรือยัง ทำได้โดย ดูจากสีที่เปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม และเช็คปริมาณแก๊สที่มีอยู่ขวด โดยการเขย่า หากยังเกิดฟองมาก และมีปริมาณฟองผุดขึ้นมาตลอด แสดงว่ากระบวนการย่อยสลายยังไม่สมบูรณ์ ให้เปิดฝาคลายแก๊สออก และทิ้งไว้ ก่อนจะมาเช็คใหม่อีกครั้ง และเมื่อเขย่าลองเขย่าแล้วมีฟองเพียงเล็กน้อยที่ลอยตัวอยู่บนน้ำ แต่ไม่มีแก๊สที่ผุดขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ เป็นอันว่า จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงของเราพร้อมนำไปใช้งานแล้ว

การนำไปใช้งานนั้น สามารถใช้ได้ทั้งฉีดพ่น และรดลงดิน แต่วิธีที่แนะนำคือ รดลงดินจะได้ผลโดยตรงกับพืชมากกว่า โดยทำการเจือจางด้วยการผสมจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงกับน้ำ 15-20 เท่า รดลงในดิน หลังจากที่รดน้ำแล้วให้ดินมีชุ่มชื้นพอประมาณ ไม่ควรรดในดินที่แห้ง ใช้ทุก 10-20 วัน ครั้ง หรือใช้ก่อนที่จะให้ปุ๋ยบำรุงส 1-2 วัน โดยประมาณ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของปุ๋ย ให้พืชดูดซึม และนำไปใช้ได้ดี

การทดลองจำลองการเกิดจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงในธรรมชาติ
ขอบคุณวีดีโอ : Youtube Chanel : DIY Microbiology

ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลอ้างอิงบทความ
https://www.nectec.or.th/schoolnet/library/snet4/june22/bacte2.html
https://kukr.lib.ku.ac.th/kukr_es/KPS_AGRI/search_detail/dowload_digital_file/20011576/151406
https://ej.eric.chula.ac.th/article/view/291

บทความที่เกี่ยวข้อง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

จุลินทรีย์ ผู้ช่วยที่ดีในการทำการเกษตร ปลูกพืช ผัก ต้นไม้ แบบอินทรีย์ ปลอดสารพิษ ที่ยั่งยืน


จุลินทรีย์ ( microorganism ) เป็นคำคุ้นหูที่เราเจอได้บ่อยมากขึ้น ในการทำเกษตร ปลูกต้นไม้ แบบอินทรีย์ มีการนำจุลินทรีย์ในรูปแบบต่างๆ เข้ามามีส่วนช่วยในปรุงดิน ทำปุ๋ย บำรุงดิน หรือป้องกันโรคพืช เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมี ที่อาจจะทำให้เกิดโทษต่างๆ ตามมาในภายหลัง โดยจะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต สภาพแวดล้อม แเละธรรมชาติ ในระยะยาว

ซึ่งจุลินทรีย์ ที่นำมาใช้ในการเกษตร ได้มีการนำมาตรวจหา และทำการศึกษา ตัวที่สามารถช่วยให้เกิดประโยชน์ และในแง่การขยายเชื้อเพื่อเพิ่มปริมาณการทำจำนวน ด้วยต้นทุนที่ต่ำ ทำให้เกษตกร หรือผู้ที่เพาะเลี้ยงปลูกต้นไม้แบบครัวเรือน สามารถนำไปปรับใช้ได้ง่าย โดยใช้วัสดุธรรมชาติที่หาได้ง่าย มาเป็นวัตถุดิบในการผลิต

จุลินทรีย์ที่สำคัญในธรรมชาติ มี 6 ชนิด แบคทีเรีย (Bacteria), รา (Fungi), ยีสต์ (yeast), แอคติโนมัยซิท (Actinomycetes), ไวรัส (Virus), สาหร่าย (Algae)









หากฟังจากชื่อแล้ว แบคทีเรีย ,รา, ยีสต์ ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว ซึ่งในธรรมชาตินั้น มีทั้งที่เป็นตัวดี และตัวร้าย ที่ก่อให้เกิดโรค จุลินทรีย์ที่ดีนั้น นิยมนำมาใช้กันมากมายทั้งในการผลิดยาปฏิชีวนะ อุสาหกรรมอาหาร และชนิดที่นิยมนำมาใช้ในการเกษตร จะเป็น แบคทีเรีย (Bacteria), ยีสต์ (yeast), รา (Fungi), สาหร่าย (Algae) เช่น การทำจุลินทรีย์ หรือแบคทีเรียสังเคราะห์แสง, จุลินทรีย์หน่อกล้วย, จุลินทรีย์น้ำหมักปลา, จุลินทรีย์ EM, เชื้อราป้องกันโรคพืช ไตรโคเดอร์มา เป็นต้น

แบคทีเรีย (Bacteria)

ที่มาข้อมูล : https://royal.dld.go.th/ ที่มาของภาพ : (a) https://biol1c201.blogspot.com/2012_02_01_archive.html (b) https://www.doribax.ru/infektsii-yavlyayutsya-odnoy-iz-osnovnh-pritchin-raka-u-molodh (c) https://sites.google.com/site/evolutionet2/baeb-thdsxb/xanacakr-mo-nex-ra

แบคทีเรียที่พบตามธรรมชาติมีหลายชนิด เช่น Bacillus sp. ตัวที่ช้ในการกำจัดศัตรูพืช , Lactobacillus sp. พบในผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนมเปรี้ยว การทำผักดอง , Phototrophic bacteria เป็นจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงใช้พลังงานจากแสงในการเปลี่ยนสารอาหารเพื่อมาใช้ประโยชน์ในตัวเองเพื่อเพิ่มจำนวน

ราและยีสต ( Fungi and Yeast )

ที่มาข้อมูล : https://royal.dld.go.th/ ที่มาของภาพ :: (a) http://enfo.agt.bme.hu/drupal/en/node/2780 (b) https://www.elnacional.com/ (c) https://microbz.co.uk/saccharomyces-cervisiae/

เป็นพวกยูคาริโอตที่ไม่มีคลอโรฟิลล์ มีทั้งแบบเซลล์เดียว เช่น ยีสต์ ที่ใช้ทำ ขนมปัง ข้าวหมาก ไวน์ เป็นอาหารสัตว์ และหลายเซลล์ เช่น ราเส้นสาย และเห็ด สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ดำรงชีวิตเป็นผู้ย่อยสลาย (decomposer) ในห่วงโซ่อาหาร มีความสำคัญในวัฏจักรธาตุอาหาร พบมากในกองปุ๋ยหมัก สืบพันธุ์โดยการแบ่งตัว แตกหน่อ หรือการสร้างสปอร์

สาหร่าย (Algae)

ที่มาข้อมูล : https://royal.dld.go.th/ ที่มาของภาพ :: (a) https://readforlearning.blogspot.com/2012/10/nostoc-hseb-notes.html (b) https://www.researchgate.net/publication/286196496_Arthrospira_Spirulina

พบทั้งที่เป็นเซลล์เดียวและหลายเซลล์ (multicellular) มีคลอโรฟิลล์เพื่อทาหน้าที่สังเคราะห์แสง มีรูปร่างหลายแบบ เช่น Anabaena เป็นสาหร่ายสีน้ำเงินที่อาศัยอยู่ในใบของแหนแดง ตรึงไนโตรเจนสะสมอยู่ในแหนแดงจึงส่งเสริมการใช้แหนแดงเป็นอาหารสัตว์ เพื่อเป็นแหล่ง โปรตีน ด้านพืช เลี้ยงแหนแดงในนาข้าว จะทำให้ข้าวได้รับไนโตรเจนจากแหนแดง ส่งผลให้เจริญเติบโตได้ดี ( แหนแดง เป็นเฟิร์นน้ำขนาดเล็กเป็นทั้งปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยชีวภาพ และอาหารสัตว์ ในใบของแหนแดงมีสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินอาศัยอยู่ซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศได้ทำให้แหนแดงเจริญเติบโตได้เร็วและมีไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบสูง)

https://www.freepik.com/free-photo/microscopic-germs-pathogens_15518296.htm#query=microscopic-germs-pathogens&position=7&from_view=search&track=sph

โดยตัวของจุลินทรีย์ เป็นสิ่งมีชีวิต ที่มาช่วยในการเร่งให้เกิดกระบวนการต่างๆ ที่จะทำให้เกิดผลลัทธ์ที่เราจะนำไปใช้ประโยชน์ เช่น ย่อยอนินทรีย์ หรืออินทรีย์วัตถุ หรือกระบวนเปลี่ยน แปรธาตุต่างๆ และปลดปล่อยธาตุอาหาร มาเป็นรูปแบบที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ ซึ่งการเพาะเลี้ยงขยายเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ นั้น ต้องทำความเข้าใจในลักษณะ การเกิดและขยายเชื้อ สภาพแวดล้อม หรือการนำไปใช้ประโยชน์ เพราะจุลิทรีย์แต่ละชนิดมีการใช้สภาพแวดล้อม อาหาร เพื่อขยายเชืัอที่แตกต่างกัน หากเรามีความเข้าใจในกระบวนการขยายเชื้อ การนำไปใช้ ก็จะทำให้เกิดโทษข้างเคียงน้อย และได้ประโยชน์สูงสุด ช่วยให้เราสามารถทำ ปุ๋ยอินทรีย์ หรือชีวภัณฑ์ต่างๆ เพื่อตอบสนองการใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น




ขอบคุณคลิป : netflix https://www.youtube.com/watch?v=ROQrbWkV4HI

ปัจจัยหลักที่มีผลกับการเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ ประกอบด้วย

สารอาหาร (Nutrient)
– พลังงาน ได้จาก แสงแดด กระบวนการออกซิเดชั่น ขบวนการย่อยสลายสารประกอบอินทรีย์ โดยเฉพาะพวกแป้งและน้ำตาล (การหมัก)
– แหล่งคาร์บอน ได้จากคาร์บอนไดออกไซด์สารอินทรีย์ (โปรตีน ไลปิด คาร์โบไฮเดรท)
– แหล่งของอิเล็กตรอน ได้จากสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์เพื่อใช้ในกระบวนการเมตาบอลิซึม
– แหล่งไนโตรเจน วัตถุดิบที่นิยมใช้เป็นแหล่งไนโตรเจนให้จุลินทรีย์ในการหมัก เช่น แป้ง ถั่วเหลือง กากน้ำตาล ยูเรีย หางนม สารอินทรีย์ (กรดอะมิโน เพปไทด์และโปรตีน) สารอนินทรีย์ (เกลือไนไตรท์ ไนเตรตหรือแอมโมเนีย)
– แหล่งซัลเฟอร์ เช่น ของเสียที่เกิดจากมูลสัตว์ การเลี้ยงสัตว์ ปศุสัตว์ น้ำเน่าเสีย
– แหล่งของฟอสเฟต อยู่ในรูปของฟอสเฟตที่เป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลีอิค นิวคลีโอไทด์ ฟอสโฟไลปิด และอื่นๆ

ปริมาณออกซิเจน (Oxygen)
ออกซิเจน – จากน้ำ และสารอาหาร เป็นองค์ประกอบจำเป็นในการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ ซึ่งแต่ชนิดจะมีความต้องการออกซิเจนที่ต่างกัน
– กลุ่มที่เจริญได้เฉพาะที่ไม่มีออกซิเจนเท่านั้น เช่น ใช้จุลินทรีย์หมักเพื่อให้เกิดกรดแลคติก
– กลุ่มที่เจริญได้เฉพาะที่มีออกซิเจนเท่านั้น เช่น ยีสต์
– เจริญได้ทั้งสภาพที่มีออกซิเจน แลเะไม่มีออกซิเจน
– กลุ่มที่เจริญได้เฉพาะที่มีออกซิเจนเล็กน้อย ถ้ามีมากจะเจริญช้า

ความชื้น (Moisture)
แบคทีเรีย และยีสต์ต้องการน้ำมาก เชื้อราต้องการน้ำน้อย ความชื้นเกี่ยวข้องกับกระบวนการออสโมซิสของเซลล์ เช่น ยีสตฺ์เจริญในอาหารที่มีน้ำตาลเข้มข้นสูง โดยทั่วไปแล้ว ยีสต์และเชื้อราเจริญได้ดีในอาหารที่มีน้ำตาลเข้มข้น 2-4 % ส่วนแบคทีเรียเจริญได้ดีในอาหารที่มีน้ำตาลประมาณ 0.5-1 % เชื้อราที่เจริญในที่แห้งแล้งได้ดี เช่น อาหารตากแห้ง

อุณหภูมิ (Temperature)
เป็นสภาพแวดล้อมที่มีความสําคัญอย่างยิ่งในการเจริญ และการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดของจุลินทรีย์ทั่วไป จุลินทรีย์แต่ละชนิดต้องการช่วงอุณหภูมิ ในกลุ่มที่สามารถเจริญเติบโตได้ในช่วงอุณหภูมิ 20 – 50 องศาเซลเซียส เพื่อการขยายเชื้อได้ดี และสามารถใช้ความร้อนที่ 100 องศาเซลเซียสเพื่อทำลายการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ได้

ความเป็นกรด-ด่าง (pH)
แบคทีเรียสวนใหญ่เจริญได้ที่ ค่า pH 6-8 ส่วนยีสต์ และเชื้อราส่วนใหญ่ เจริญได้ดีในสภาวะเป็นกรด ในกระบวนการหมักของแบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคติก (lactic acid bacteria )เปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรดแลคติก เมื่อกรดแลคติกเพิ่มขึ้นจำนวนมากจน pH 4.2 เชื้อจุลินทรีย์ไม่สามารถเจริเติบโตได้ รวมถึง lactic acid bacteria ก็ตายด้วย กรดแลคติกคงอยู่เป็นการถนอมพืชหมักคงคุณค่าทางโภชนาการ ถ้าแบคทีเรียอยู่ในสภาพ pH แตกต่างไปจากที่ๆ เคยอยู่แบคทีเรียจะตาย

ประโยชน์ที่ได้จากกลุ่มจุลินทรีย์ที่นำมาใช้ในการเกษตร

จุลินทรีย์ที่ตรึงไนโตรเจน (Nitrogen Fixing Microorganisms )

แบคทีเรียที่ตรึงไนโตรเจนได้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ตรึงไนโตรเจนได้อย่างอิสระ เช่น Azotobacter sp. , Clostridium sp., Azospirillum sp. กลุ่มที่ต้องอยู่ร่วมแบบพึ่งพาอาศัยกันและกัน จึงจะตรึงไนโตรเจนได้ เช่น Rhizobium sp. ในปมรากตระกูลถั่วส่วนจุลินทรีย์ชนิดอื่น เช่น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน Anabaena sp. สามารถตรึงไนโตรเจนได้แบบอาศัยพึ่งพากันและกันกับแหนแดง มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มอินทรียวัตถุและตรึงไนโตรเจนในนาข้าว ทำให้แหนแดงกลายเป็นปุ๋ยพืชสดที่สำคัญและมีศักยภาพสูงใช้ร่วมกับนาข้าว

จุลินทรีย์ที่ย่อยสลายสารอินทรีย์

เป็นพวกที่ย่อยสลายเซลลูโลส ซากพืช ซากสัตว์ ประกอบไปด้วย แบคทีเรีย รา แอคติโนมัยซิท และโปรโตซัว เช่น Bacillus , Aspergillus , Tricoderma , Penicillium , Thermoactinomyces พบได้ทั่วไปในพืช ซากสัตว์ ใบไม้ กิ่งไม้ เศษหญ้า และขยะอินทรีย์ชนิดต่างๆ ทำให้เกิดปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ ขึ้นมาได้ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ปุ๋ยคอก ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ น้ำหมักชีวภาพ




จุลินทรีย์ที่ละลายฟอสเฟต และธาตุอาหารอื่นๆ

แบคทีเรียในสกุล Bacillus sp. และราในสกุล Aspergillus sp. , Thichoderma sp. , Penicillium sp. และ Rhizopus sp. จุลินทรีย์พวกนี้สามารถทำให้ธาตุอาหารชนิด เช่น ฟอสฟอรัส เหล็ก สังกะสี ทองแดง และ แมงกานีส ที่มักอยู่ในรูปที่พืชไม่สามารถนนำไปใช้ได้ (ไม่ละลาย) ให้ละลายออกมาอยู่ในรูปที่พืชสามารถนำไปใช้ ประโยชน์ได้ รวมทั้งจุลินทรีย์ที่ช่วยส่งเสริมให้รากพืชดูดกินอาหารได้ดีขึ้น
จุลินทรีย์ในสกุล Bacillus sp. และ Aspergillus sp. จะสร้างกรดอินทรีย์ละลายฟอสฟอรัส ที่อยู่ในรูปของหินฟอสเฟตออกมาให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้ นอกจากนี้เชื้อราไมคอไรซา (Mycorrhizal Fungi) ยังมีบทบาทในการละลายและการส่งเสริมการดูดใช้ธาตุฟอสฟอรัส

จุลินทรีย์ที่ผลิตสารป้องกันและทำลายโรคพืช

จุุลินทรีย์กลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันและยับยั้งการเจริญของเชื้อราและแบคทีเรียพวก ที่ก่อโรคบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลคติก ได้แก่ Lactobacillus sp. บนใบพืชที่สมบูรณ์และ มีสุขภาพดีจะพบแบคทีเรียกลุ่มผลิตกรดแลคติกมาก จุลินทรีย์กลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ต้องการออกซิเจน และ มีประโยชน์อย่างมากในการเกษตร เช่น เปลี่ยนสภาพดินจากดินที่ไม่ดีหรือดินที่สะสมโรคให้กลายเป็นดินที่ต้านทานโรค
ช่วยลดจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคพืชให้มีจำนวนน้อยลง มีประโยชน์กับพืชและสัตว์ – มีจุลินทรีย์ที่มีความสามารถในการสร้างสารปฏิชีวนะออกมาททำลายโรคพืชบางชนิด เช่น เชื้อรา Aspergillus sp. Thichoderma sp. และเชื้อแอคติโนมัยซิทพวก Steptomyces sp.

ขอขอบคุณ
ข้อมูลอ้างอิง / ประกอบบทความ :
กรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
https://dld.go.th/th/
https://royal.dld.go.th/webnew/index.php/th/
📂อ่านข้อมูล หรือดาวน์โหลดข้อมูลเพื่อศึกษาเพิ่มเติม

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ทำสวน แบบสวย เก๋ เท่ มีสไตล์ !! รวม ไอเท็ม แฟชั่นชุดชาวสวน ช่วยให้การทำสวนสนุกขึ้นได้อีก ( Gardener Fashion )


ถึงจะทำสวน ทำไร่ ก็ใช่ว่า เราจะมีแฟชั่นไม่ได้!! ชุดทำสวนเก๋ๆ ไอเท็มน่ารักๆ ก็ช่วยเพิ่มแรงบันดาลใจ ในการปลูกต้นไม้ได้ เสริมให้เราสนุกกับทุกกิจกรรมที่ทำ และยังช่วยสร้างกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัว ชวนให้มาแต่งตัวทำสวนสนุกๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกน้อย คู่แฟน หรือกลุ่มเพื่อน ทำสวนไปด้วยกัน และยังด้ภาพกิจกรรมสวยๆ ก็ช่วยเติมเต็มให้การทำสวนดูมีชีวิตชีวา สดใสขึ้นไปอีก

เริ่มจากการจัดหาชุด และอุปกรณ์ที่นอกจากจะใช้ประโยชน์แล้ว ก็เพิ่มความเก๋ไก๋ให้กับการแต่งตัวของเราได้ด้วย









ไอเท็มหลักที่ควรเตรียมในการแต่งตัวทำสวน

รองเท้าบูท ประโยชน์ที่สำคัญคือ ช่วยให้เราทำงานได้สะดวกขึ้น ปกป้องเท้าเราจะหิน หรือพื้นที่อาจจะมีเศษของแหลมคมที่อาจจะเกิดอันตรายกับเท้าของเราได้ และยังช่วยป้องกันสัตว์มีพิษ น้ำ หรือโคลนที่จะเลอะเท้าและทำให้ทำความสะอาดได้ยาก

หมวกกันแดด แสงแดดที่แรงอาจทำให้ผิวหน้าเสียเป็นฝ้า เกิดกระ หรือเกิดการอักเสบจากผิวไหม้แดดได้ การใช้หมวกที่มีปีกรอบช่วยป้องกันแสงแดดที่จะทำร้ายผิวเราได้ และยังเพิ่มความเก๋ให้กับการทำสวนของเราอีกด้วย

ชุดเอื้ยม ชุดกันเปื้อน ทำสวน ปลูกต้นไม้มีโอกาสที่อาจจะเกิดคราบสกปรกได้ การใช้เอี้ยมก็จะช่วยให้เสื้อผ้าของเราสกปรกน้อยลง และถ้าเป็นเอี้ยมที่มีช่องกระเป๋าใส่ของด้วย ก็จะสะดวกในการเก็บอุปกรณ์เล็กเช่น กรรไกรตัดกิ่ง หรืออุปกรณ์มัดเชือกต่างๆ

ถุงมือทำสวน เป็นสิ่งที่จะช่วยปกป้องมือของเรา จากอุบัติเหตุต่างๆ ได้ ทำให้การหยิบจับถนัดขึ้น ลดการบาดเจ็บในกรณีที่ต้องดึงเชือกมัด หรือทำงานที่ต้องใช้แรงจากมือ เช่นการขุดเจาะ หากปล่อยให้เนื้อของเราเสียดสีกับอุปกรณ์นานๆ อาจทำให้เกิดแผลถลอกได้

ซึ่งไอเท็มเหล่านี้ใช้ประโยชน์ในการทำสวนได้เต็มที่ เพียงแค่เราอาจจะเลือกให้มีสีสัน หรือลูกเล่นเล็กน้อยๆ ก็ทำให้การแต่งตัวดูสนุกขึ้นได้




และกระเป๋า หรือตะกร้าใส่อุปกรณ์ นอกจากจะเป็นพร๊อพน่ารักๆ แล้วยังสะดวกในการใช้งานจริงที่ทำให้เราสะดวกเมื่อต้องทำสวนในพื้นที่กว้างๆ

ขอบคุณภาพ : pinterest
ที่มาภาพ : https://pin.it/2UMgcLF

รวมพิกัดช้อปปิ้งไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป!!

ไอเดีย!! จัดสวนผัก สไตล์สวนอังกฤษ (English Cottage Garden) กินได้ และสวยด้วย


จัดสวนทั้งที ถ้าเป็นต้นไม้ หรือผักที่เรากินได้ ก็เหมือนได้ประโยชน์ 2 ต่อ ซึ่งการปลูกในลักษณะนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้พื้นที่เยอะ สามารถปรับรูปแบบ การเลือกวางแปลน ตัวบล็อกที่ใช้ ให้เหมาะสมกับความชอบส่วนตัว และพื้นที่ของเราได้ ประโยชน์ของการจัดสวนผักในลักษณะนี้คือ จะเป็นการยกแปลงสวนผัก แบบลอยตัว ซึ่งจะทำให้ดูแล บำรุงรักษาได้ง่าย กว่าการขุดเป็นแปลงปลูก

ทั้งในเรื่องของการปรุงดิน การให้น้ำ การปรับเปลี่ยนดินให้เหมาะสมกับลักษณะ หรือชนิดของพืชผัก ซึ่งการคัดเลือก พืชหรือผักที่จะใช้ปลูกนั้น สามารถเลือกได้หลากหลาย ผสมผสานได้ทั้งผักประจำถิ่น และผักต่างประเทศ โดยเลือกการปลูกที่สามารถแบ่งพื้นที่ได้ชัดเจน ทำให้ควบคุมการปริมาณการให้น้ำง่าย และสะดวกขึ้น









ส่วนลด !! พิเศษ สูงสุด 50% ช้อปเลย..

สิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดสวนผักสไตล์สวนอังกฤษ มีอะไรบ้าง??

  • ควรเป็นพื้นที่โล่ง ที่มีแดดส่องถึงทั้งวัน หรืออย่างน้อย 5-6 ชม. เพราะผักสวนครัวส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดมาก
  • ระบบน้ำ ที่ใช้รด ควรติดตั้งให้สามารถรดน้ำได้ง่าย ผักสวนครัว บางชนิดอาจจะต้องการน้ำ 2 เวลา เช้า และเย็น
  • ควรปรับพื้นที่ให้ระบายน้ำได้ง่าย ไม่มีน้ำท่วมขัง หรือหากสวนที่ทำแปลงเป็นพื้นที่ราบต่ำ อาจจะต้องถม หรือปรับพื้นที่ให้สูง และมีร่องระบายน้ำได้ดี
  • วัสดุที่จะเลือกใช้ทำบล็อก ควรคำนึงถึงการใช้งานที่เหมาะสม สามารถ ใช้ได้ทั้งแบบถาวร และแบบ น็อคดาวน์ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ง่าย
  • การปลูกผักนั้น ควรจะต้องเลือก และปรับเปลี่ยนชนิดให้เหมาะสมกับฤดูกาล เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรค หรือแมลงศัตรูพืชรบกวน และยังช่วยเรื่องความสมบูรณ์ของพืชผัก หากอากาศเหมาะสม ก็จะได้ผลผลิตดี ต้นแข็งแรง

ขั้นตอนการทำแปลงสวนผักสไตล์อังกฤษต้องเริ่มยังไง??

  • สิ่งแรกที่ต้องคำนึงถึง และทำเป็นขั้นตอนแรกคือ การวางแปลน และเขียนแบบ โดยคำนึงถึง ช่วงที่แสงแดดส่องถึง ขนาดของแปลง วัสดุที่จะเลือกใช้ในการทำแปลง แสงไฟส่องสว่างตอนกลางคืน
  • ปรับพื้นที่โดยการใช้ทราย หรือหินในการปรับพื้นที่ให้เสมอกัน และวางทางน้ำที่จะระบายออกได้ดี เมื่อมีฝนตก หรือเวลาที่เรารดน้ำ
  • การใช้แผ่นพลาสติกปูรองพื้นก่อน ลงดินปลูกหรือจัดแปลง จะช่วยลดเรื่องวัชพืชที่อยู่ในดิน ที่เป็นพื้นที่ทำแปลงได้
  • กั้นแปลงปลูก ซึ่งความสูงของแปลงปลูกนั้น นอกจากความสวยงามแล้ว ยังมีผลในเรื่องการกักเก็บความชื้น และพื้นที่ให้รากชอนไชด้วย หรือในคนสูงอายุที่ไม่สามารถนั่งยองๆ หรือก้มเป็นเวลานาน การทำแปลงผักสูง จะลดความบาดเจ็บของร่างกายได้
  • หากเป็นพืชผักที่เป็นไม้เลื้อย หรือไม้เถา ก็ควรมีซุ้ม หรือทำระแนง เพื่อให้ต้นสามารถเจริญเติบโตได้ง่าย เมื่อมีผลผลิต ก็จะไม่ถูกแมลงที่อยู่บนพื้นรบกวน ทำให้ผิวของผลสวย และง่ายในเวลาที่ต้องการเก็บผลผลิต ซึ่งซุ้มนี้หากมีขนาดใหญ่ก็ยังช่วยเรื่องร่มเงาได้ด้วย
  • เตรียมดินปลูก ซึ่งก่อนที่จะดินปลูกนั้นควรหาวัสดุที่ช่วยเรื่องการระบายน้ำ รองก้นแปลงก่อนลงดิน ดินที่ใช้หากผ่านการหมักดินแล้ว ก็สามารถลงปลูกผักได้เลย แต่ถ้าเป็นดินที่ผสมใหม่ก็สามารถหมักดินในแปลงผักได้เลย
  • ตกแต่งบริเวณทางเดินระหว่างแปลง หากจะมีการโรยหิน ควรนำแผ่นตาข่ายพลาสติกอย่างแข็ง รองก้นก่อนการโรยหินด้านบน เพื่อป้องกันการยุบตัวเวลาที่เราใช้เดิน
  • หากต้องการเพิ่มความสวยงาม หรือความสะดวกในทางเดินของแปลงผัก ในตอนกลางคืน ก็ควรจะต้องเพิ่มการติดตั้งระบบไฟ ซึ่งหากต้องการประหยัดค่าไฟ และไม่ต้องการเดินไฟ สามารถใช้เป็นไฟส่องสว่างพลังงานจากแสงอาทิตย์ หรือโซล่าเซลล์ได้

ขอบคุณภาพประกอบบทความ : Pinterest
ที่มาของภาพ : https://pin.it/4r542eX

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

การใช้ “กำมะถัน” เพื่อบำรุง และป้องกัน ยับยั้งศัตรูพืช ตระกูลไร โรคตระกูลรา ในพืชแบบอินทรีย์


กำมะถัน หรือ ซัลเฟอร์ ( sulfur ) เป็นธาตุอโลหะ (อนินทรีย์) ที่เกิดในชั้นดินที่มีการทับถมของซากพืช ซากสัตว์ การระเบิดของภูเขาไฟ นิยมนำมาใช้ในตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งในวงการแพย์ เพื่อเป็นส่วนประกอบ การผลิตยา หรือในภาคอุสาหกรรม และในตัวมนุษย์เราก็มีกำมะถันเป็นส่วนประกอบของร่างกายอยู่ 0.25 % ของน้ำหนักตัว กำมะถันที่เป็นแร่ธาตุที่สำคัญในการเสริมโครงสร้างร่างกายในส่วนของ ผม เล็บ และผิวหนัง ซึ่งกำมะถันที่มนุษย์ต้องการจะพบมากในอาหารจำพวก เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ไข่ พืชตระกูลถั่ว และค่ากำมะถันที่ร่างกายต้องการควรเหมาะสม มีความสมดุล ไม่สูงเกินค่ามาตราฐานที่ร่างกายต้องการ

เช่นเดียวกับการนำมาใช้กับพืช ควรจะต้องทำการศึกษาปริมาณที่ใช้ หรือการทำปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อการใช้ร่วมกับธาตุอื่นๆ เพื่อไม่ให้เกิดพิษต่อพืช









Image by wirestock on Freepik

โดยทำการเกษตรอินทรีย์นั้น มีการสนับสนุนให้นำ กำมะถัน มาใช้แทนการใช้ยา หรือสารเคมีบางกลุ่มเพื่อลด หรือหยุดการใช้สารพิษในการเกษตร โดยใช้ในกลุ่มการป้องกัน ศัตรูพืช ตระกูลไร เช่น ไรแมงมุม ไรแดง หรือไรในกลุ่มที่เข้าทำลายไม้ผล ผักสวนครัว และยังยับยั้งการเข้าทำลาย ของเชื้อรา หรือแบคทีเรียที่ก่อโรค

แต่ในการใช้นั้น ต้องมีการลอง และปรับใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อดูปฎิกิริยาต่อพืชที่ส่งผลจากการใช้ เพราะหากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม จะกลายเป็นพิษ ดินเป็นกรด หรือเกิดอาการใบไหม้ ต่อพืชได้ และควรใช้ให้ไม่เกินค่ามาตราฐานที่สะสมอยู่พืชผักสวนครัว ผลไม้

และประโยชบ์ของกำมะถัน ยังเป็นธาตุรองที่สำคัญต่อพืช ช่วยในการสร้างคลอโรฟิลล์ ที่ส่งผลต่อการสร้างสีเขียวของพืช เพื่อใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หรือการปรุงอาหารพืช และสังเคราะห์โปรตีน ส่งผลทั้งคุณภาพ ความแข็งแรง และปริมาณผลผลิตต่อพืช

หากพืชขาด ธาตุกำมะถัน จะส่งผลให้ต้นชะงักการเจริญเติบโต ลำต้นอ่อน ต้นล้มได้ง่าย รากไม่แข็งแรง ใบหรือยอดมีสีซีดเหลือง ทำให้เกิดการเข้าทำลายจากศัตรูพืช และโรคได้ง่าย




ดินในตามธรรมชาตินั้นมีกำมะถันอยู่ในปริมาณเพียงพอกับที่พืชต้องการ แต่ในกรณีที่ปลูกพืช หรือต้นไม้ในกระถางที่ไม่มีกระบวนย่อยสลายอินทรีย์ต่างๆ ในดิน หรือแปลงเกษตรที่ไม่มีการพักแปลง หรือไม่ได้มีการปรับปรุงดินโดยการเติมอินทรีย์วัตถุต่างๆ ลงไปในดินเป็นเวลานาน จะทำให้พื้นที่การปลูกนั้น ขาดธาตุกำมะถันได้ ซึ่งการแก้ไขคือ เติมปุ๋ยคอก หรือการใส่กำมะถันให้พืชในปริมาณที่เหมาะสม

ในการหมักปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือน้ำหมักบางชนิด เช่นน้ำหมักจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือแบคทีเรียสังเคราะห์แสง นี้จะทำให้มีเกิดกำมะถันตามธรรมชาติ ของเหลือจากการทำอาหารเช่น เปลือกไข่ที่ผ่านความร้อน ก็จะมีกำมะถันอ่อนๆ ตามธรรมชาติแฝงอยู่




ข้อควรรู้ และข้อควรระวังในการใช้กำมะถันในพืช

ด้วยกำมะถันนั้นมีฤทธิ์ทางเคมีเป็นกรด หากใช้ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม หรือมากไปอาจะทำให้เกิดการเสียสมดุลในดิน หรือเป็นพิษต่อพืช ในกรณีที่ใช้ทางใบ ก็อาจจะทำให้เกิดอาการใบไหม้ได้ จึงต้องมีความระมัดระวังในการนำไปใช้ และควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด

• ไม่ควรใช้กำมะถันรวมกับสารจับใบ หรือสารที่มีส่วนประกอบของไวท์ออยล์ หรือหากต้องการใช้ควรเว้นระยะการใช้อย่างน้อย 2 สัปดาห์

• ไม่ควรใช้ในสภาพอากาศที่มีความร้อนสูง ควรใช้ตอนเวลาเย็น หรือช่วงที่ไม่มีแดดจัด

• ปริมาณการใช้กับพืช แต่ละชนิดไม่เท่ากัน เนื่องจากการต้านทาน ต่อความเป็นกรดของพืชแต่ละชนิดไม่เท่ากัน กำมะถันจะใช้ได้ประสิทธิภาพดี ในพืชที่ต้องการดินที่ความเป็นกรดอ่อน ดังนั้นควรศึกษาชนิดของพืชที่จะใช้ หากใช้กับพืชทุกขนิด ควรทดลองใช้ในปริมาณน้อยก่อน และค่อยปรับเพิ่มขึ้นทีละนิด

• ควรเช็คสภาพดินก่อนใช้ว่า ดินมีค่าความเป็นกรดอยู่แล้วหรือไม่ หากดินเป็นกรดอยู่แล้วไม่ควรใช้กำมะถันเพิ่ม

• ควรสวม เสื้อผ้า มิดชิดและป้องกัน ไม่ให้สูดดม หรือสัมผัสโดยตรง เพราะถึงแม้จะเป็นสารอนินทรีย์ที่มีพิษต่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมต่ำ และร่างกายสามารถขับพิษออกได้ตามธรรมชาติ แต่ถ้าหากสะสมเป็นเวลานาน หรือได้รับในปริมาณมากเกินค่าร่างกาย ก็มีอันตรายได้ หรืออาจจะมีอาการคันได้ในผู้ที่ผิวบอบบาง หรือแพ้ง่าย

• ในสมัยก่อนนิยมนำกำมะถันมาผ่านความร้อน หรือรมครัว ไล่แมลง แต่ตอนนี้ไม่นิยมให้ใช้ด้วยเหตุที่ก่อให้เกิดโทษ และอันตรายมากว่า เพราะเมื่อกำมะถันเมื่อโดนความร้อนสูง จะทำให้เกิดออกไซด์ของกำมะถัน และไฮโดรเจน ซึ่งจะมีพิษต่อระบบการหายใจ ทำให้เป็นพิษต่อร่างกาย จึงให้เลิกใช้การรมควันกับกำมะถัน

กำมะถัน และ กรดกำมะถัน ไม่เหมือนกัน “กำมะถัน” จะเป็นก้อน หรือผงสีเหลืองไม่ทำละลายในน้ำ ส่วน “กรดกำมะถัน” จะเป็นสีใส ละลายในน้ำได้ การใช้กำมะถัน ไม่ได้มีอันตราย หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม แต่หากเป็น กรดกำมะถัน หรือกรดซัลฟิวริก ( sulfuric acid / sulphuric acid ) แล้วนั้น เป็นสารต้องห้าม มีพิษอันตราย ต่อร่างกายอย่างมาก

วิธีการใช้กำมะถัน ในการกำจัด ป้องกันศัตรูพืช และโรคพืช

หากเป็นการปลูกจำนวนน้อย แนะนำให้ใช้เป็นสบู่กำมะถันที่จำหน่ายตามร้านทั่วไป หรือร้านขายยา ซึ่งการใช้สบู่ที่มีส่วนผสม สบู่ซัลเฟอร์ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะมีซัลเฟอร์ผสมอยู่ 2.5-3 % ซึ่งจะไม่ทำการระคายเคืองผิวเราได้ง่าย ให้นำสบู่ก้อนมาทำการหั่นเป็นฝอย ละลายน้ำ เป็นแบบเข้มข้น และผสมน้ำเพิ่ม เพื่อเจือจางเวลานำไปฉีดพ่น

ในกรณีที่ใช้ในปริมาณเยอะ สามารเลือกใช้ ผงกำมะถัน ที่มีจำหน่ายในร้านการเกษตรทั่วไป ที่จะมีชนิดผงละเอียด ละลายง่าย ไม่อุดตันหัวฉีด ผงกำมะถันนั้นจะไม่ละลายเข้ากับน้ำ หากเป็นกำมะถัน ชนิดผงหยาบ และต้องการนำไปใช้ ต้องผสมตัวทำละลาย หรือให้ผสมกับน้ำสบู่สูตรอ่อนๆ เพื่อให้น้ำกับกำมะถันเข้ากันได้ แล้วกรองส่วนที่ไม่ละลาย หรือเป็นผงก้อนใหญ่ เพื่อป้องกันการอุดตันหัวฉีด

การนำกำมะถันละลายนำไปใช้ควรผสมน้ำใช้แบบเจือจาง ซึ่งปริมาณการใช้ หรือเจือจางความเข้มข้นนั้นไม่มีตายตัว แนะนำให้ผสมอ่อนๆ ก่อนในการใช้ในครั้งแรก และค่อยปรับเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม เพื่อป้องกันใบไหม้ หรืออาการเป็นพิษในพืช

ข้อมูลอ้างอิง :
https://www.opsmoac.go.th/angthong-local_wisdom-preview-441591791910
https://web.ku.ac.th/schoolnet/snet5/topic2/S.html

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

แสนจะง่าย!! ทำน้ำสบู่กำมะถัน ใช้ป้องกันไรแดง ไรแมงมุง เชื้อรา และแบคทีเรีย ในต้นไม้ แบบปลอดสารพิษ


การทำน้ำสบู่กำมะถัน เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรก หรือปลูกจำนวนไม่มาก และต้องการป้องกัน การเกิดโรค และศัตรูพืช แบบปลอดสารพิษ ( Non-toxic ) เหมาะสำหรับครัวเรือน หากเป็นการปลูกแบบสวน หรือเกษตกรที่ประกอบเป็นอาชีพ อาจจะเป็นต้นทุนที่สูงเกินไป ควรใช้เป็นกำมะถ้นที่มีจำหน่าย แบบถูกต้องในร้านที่ขายสินค้าการเกษตรโดยตรง

สบู่กำมะถัน หรือสบู่ซัลเฟอร์ ( Sulfur Soap ) เป็นสบู่ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด โดยจะมีส่วนกำมะถันผสมอยู่ 2.5-3% ซึ่งการเลือกนำสบู่กำมะถันมาใช้นั้น ควรเลือกที่มีการรับรอง หรือผลิตที่น่าเชื่อถือได้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านขายยา ร้านค้าออนไลน์ที่น่าเชื่อถือ ในท้องตลาดในไทย มีจำหน่าย มีอยู่ 3 แบรนด์ หลัก Defento, Myda, Oxecure ซึ่งคุณสมบัติการใช้งานไม่แตกต่างกันมาก สามารถเลือกใช้ได้ทั้งหมด ตามความสะดวก


สิ่งที่ต้องเตรียม

1. สบู่กำมะถัน หรือสบู่ซัลเฟอร์ ( เลือกใช้ได้ทุกยี่ห้อตามสะดวก )
2. น้ำอุ่น หรือน้ำที่ต้มและผ่านการพัก ให้อุณหภูมิไม่เกิน 48-60 องศาเซลเซียส
3. น้ำอุณหภูมิปกติ
4. อุปกรณ์ผสม
5. ขวดสเปรย์พ่น หรือฟ๊อกกี้
6. อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำให้สบู่เป็นฝอย มีดหั่น หรือมีดปลอกผลไม้
7. กระชอนตาถี่ ตาละเอียด

ขั้นตอนการทำ

1. นำสบู่กำมะถันมาหั่น หรือขุดให้เป็นฝอย เพื่อให้ง่ายในขั้นตอนการละลาย


2. นำน้ำอุ่น ( ใช้ปริมาณน้ำ 1/3 ของปริมาณสบู่ ) ผสมเข้ากับสบู่ที่ได้เตรียมไว้แล้ว โดยใส่น้ำที่ละน้อยๆ แล้วคนให้เข้ากันในขณะที่น้ำยังอุ่นๆ และค่อยๆ เติมน้ำทีละนิด จนได้เป็นลักษณะน้ำสบู่ข้นๆ










3. นำน้ำสบู่เข้มข้นผสมเข้ากับน้ำอุณหภมิปกติ โดยประมาณ 1 เท่าตัวของน้ำสบู่เข้มข้น เพื่อให้ง่ายต่อการคนผสม และนำไปกรองด้วยกระชอนตาถี่ หากมีสบู่ที่ยังละลายไม่หมด ให้ขยี้ละลายให้เข้ากัน


4. เมื่อได้ตัวหัวน้ำสบู่กำมะถันแล้ว ให้นำไปเจือจางกับน้ำอุณหภูมิปกติก่อนนำไปใช้ ใส่เป็นขวดสเปรย์พ่น
และนำไปพ่นตามที่มีการระบาด

การนำไปใช้งาน

สัดส่วนการใช้นั้นไม่มีตายตัว แต่แนะนำให้ผสมให้เจือจาง 15-20 เท่า ในการใช้งานครั้งแรก และค่อยปรับให้เข้มข้นขึ้น หากพืชไม่แสดงอาการใบไหม้ หรือใบเหลือง ใบร่วง

การใช้งานควรเว้นระยะการใช้งานให้เหมาะสม โดยดูจาดอาการของต้น หรือการระบาดที่ลดลง หากไม่มีการระบาดแล้ว เป็นระยะป้องกัน ก็สามารถลดความถี่การใช้งานลงได้

การดูแลรักษาแบบปลอดสารพิษจะให้ได้ผลนั้น ต้องใช้ความสม่ำเสมอ และต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลลัทธ์ที่ชัดเจน และถ้าหากเคยใช้สารเคมี หรือสารที่เป็นกลุ่มยาฆ่าแมลงมาแล้ว ตัวไรแดง นั้นจะมีอาการดื้อยาอาจจะทำให้การใช้อินทรีย์ หรือปลอดสารพิษไม่ได้ผล หรือมีประสิทธิต่ำ

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ไรแดง ศัตรูพืชตัวร้าย ดูดน้ำเลี้ยงจากต้น ทำลายผิวต้น กระบองเพชร ไม้อวบน้ำ จนเสียหาย และตายได้


ในช่วงที่เราอาจเผลอไม่ได้ดูแลต้นกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ สังเกตเห็นอีกที ลักษณะต้นดูโทรม ดูซูบทั้งที่รดน้ำปกติ ระบบรากก็ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างไร เมื่อมองดูใกล้ๆ จะเห็นเป็นลักษณะ รังแมงมุมเล็กๆ บริเวณโคนต้น หรือจุดที่เป็นจุดอับของต้น เช่น ก้นกระถาง หรือตามพื้นที่ใช้วางกระถาง และถ้าใช้แว่นขยาย ก็จะพบกับตัวที่มีลักษณะคล้างแมงมุมตัวเล็กๆ สีแดง เดินไปมา เจ้าพวกนี้คือ ไรแดง หรือ ไรแมงมุม ศัตรูพีช ที่แสนจะปราบยากอันดับต้นๆ ของการเลี้ยงกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ เพราะด้วยการที่หลบ และซ่อนตัวเก่ง ทำให้ถูกกำจัดได้ยาก ลักษณะการเข้าทำลายของไรแดงคือ จะเกาะกินน้ำเลี้ยงในต้นจากผิวด้านนอก

และถ้าหากทิ้งระยะเวลานาน ก็จะระบาดเป็นวงกว้างได้อย่างรวดเร็ว จนบางครั้งอาจะทำให้เราเสียต้นกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ เป็นจำนวนมาก ซึ่งในการควบคุมนั้นใช้ระยะเวลาค่อนข้างนานกว่าจะหายขาด ต้นที่โดนไรแดงเข้าทำลายนั้น หากไม่ตาย ก็จะเกิดแผลที่ผิวต้น โดยจะสังเกตในช่วงแรกได้ยากจนกว่า จะเห็นแผลเป็นวงกว้าง









ไรแดงนั้นจะชอบเข้าทำลายต้นกระบองเพชร ไม้อวบน้ำ ที่มีผิวไม่แข็งมาก เจาะได้ง่าย อาทิเช่น สกุล โครีแฟนทา ( Coryphantha ), แมมมิลลาเลีย ( Mammillaria ), โลโฟโฟร่า ( Lophophora ), รีบูเทีย ( Rebutia ), อิชินอปซิส ( Echinopsis  ), โลบีเวีย ( Lobivia ) ซึ่งในทุกสายพันธุ์ที่กล่าวมานี้ มีลักษณะผิวที่ง่ายต่อการถูกทำลาย และยังมีปุยขนบริเวณต้น หรือซอกหนามที่ง่ายต่อการซ่อนตัวของไรแดง ซึ่งในเวลาที่เราพ่นยา หรือสารอินทรีย์ต่างๆ เพื่อกำจัด จะทำให้เข้าถึงตัวไรแดงได้ยาก และในจำพวกไม้อวบน้ำ เช่นกุหลาบหิน หรือไลทอป ก็เป้าโจมตีอันดับต้นๆ ของไรแดง

และสิ่งที่จะตามมาหลังจากการกำจัดไรแดงแล้วก็คือ ผิวต้นที่เสียหาย หากผิวที่เป็นแผลยังไม่ได้ทำการรักษา หรือแห้งดีแล้ว เมื่อเจอกับอากาศชื้นก็จะทำให้เกิดเป็นแผลลาม เป็นวงกว้าง ลักษณะจุดสีส้มกระจายไปทั่ว จนที่หลายคนเรียกว่า ราสนิม แต่ในส่วนนี้นั้น จากประสบการณ์ที่เฝ้าสังเกต การเกิดแผลสีส้มบนผิวกระบองเพชร สาเหตุการเกิดนั้นมาจากผิวที่ถูกทำลายจากไรแดง

เนื่องจากผิวชั้นนอกที่ปกป้องถูกทำลายทำให้เกิดการติดเชื้อรา หรือแบคทีเรียได้ง่าย ซึ่งบริเวณแผลที่เกิดมีลักษณะเป็นสีส้ม การรักษาในระยะนี้นั้นควรเป็นลัษณะการยับยั้งการเข้าทำลายของ เชื้อรา แบคทีเรีย แต่ถ้าหากเรายังกำจัดต้นต่อสาเหตุ นั่นคือ ไรแดง ไม่ได้ การรักษาที่แผลอย่างเดียวก็จะเป็นแค่ปลายเหตุ เปรียบเทียบคล้ายคนที่เป็นเบาหวาน ที่หากมีแผลการติดเชื้อจะง่าย แผลหายได้ค่อนข้างยาก เชื้อรา หรือแบคทีเรียเข้าทำลายเนื้อเยื่อได้ง่าย และเร็ว

ส่วนลด !! พิเศษ สูงสุด 50% ช้อปเลย..

นอกจากจะเป็นแผลสีส้มให้เห็นชัด ในบางครั้งก็เป็นลักษณะแผลที่เกิดจากไรแดง จะเป็นฝ้าสีขาวขึ้นบนผิวต้นกระจายไปทั่วต้น หากปล่อยในไรแดงเข้าทำลายต้น ชักใยเป็นวงกว้าง หรือเนื้อเยื่อชั้นใน ถูกทำลายจนทำให้ต้นฝ่อ เป็นเวลานานสิ่งที่จะตามคือ การยืนต้นตาย

กล่าวโดยสรุปจากประสบการณ์ ที่ยังไม่ได้มีงานวิจัยรองรับ หรือการทำการเข้าแล็ปเพื่อวิเคราะห์ เป็นจากการเฝ้าสังเกตการเกิดโรค คือ ไรแดงจะเป็นตัวเข้าทำลายผิวของต้น และเมื่อเกิดอากาศชื้น บวกกับความอ่อนแอของต้น ทำให้เชื้อรา หรือแบคทีเรียเข้าทำเนื้อเยื่อต้องส่วนที่เป็นแผลได้ง่าย ดังนั้นการรักษาจึงเป็นทั้งการกำจัดศัตรูพืชที่เป็นสาเหตุหลัก และกำจัดโรคพืชจากเชื้อรา หรือแบคทีเรียในเวลาต่อมา

วิธีการป้องกัน ดูแล รักษา

• พื้นที่การวางต้นไว้อยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม มีมุมอับที่แสงแดดส่องไม่ถึง หรือการวางต้นไม้แออัดจนเกินไป จะทำให้ไรแดงซ่อนตัวได้ง่าย และติดต่อกันได้เร็ว

• การมีโรงเรือนลักษณะปิด จะช่วยป้องกันไรแดงที่มาจากต้นไม้อื่นๆ หรือมาตามลม

• การแยกต้นใหม่ที่นำเข้าในบ้าน รื้อกระถางทำความสะอาดต้น และใช้ดินใหม่ก็จะช่วยตัดตอนไรแดงติดมาในกระถางได้ระดับหนึ่ง หลังจากปลูกใหม่ก็ควรแยกพื้นการวางที่ไว้ไม่รวมกับต้นที่เคยปลูก เพื่อดูให้มั่นใจก่อนวางรวมกับต้นเดิม

• หมั่นตรวจตราสำรวจพื้นที่ปลูก และรักษาความสะอาดอยู่เสมอ

• และอีกหนึ่งวิธีตามธรรมชาติ ที่เราไม่ต้องสร้าง หรือทำ แต่ต้องคอยรักษา และไม่ทำลายคือ แมลงห้ำ ในธรรมชาติ ที่จัดการกินไรแดง ไรแมุงมุม ก็คือ แมงมุมกระโดด ที่เป็นแมงมุมตามธรรมชาติ พบได้ง่าย ไม่มีผิดต่อมนุนย์ ซึ่งเป็นการจัดการกันแบบธรรมชาติของระบบนิเวศ หากเราไม่ใช้สารเคมี สารพิษ แมลงห้ำ ก็จะขยายพันธุ์ได้ดี

การป้องกัน และกำกัด ไรแดง ไรแมงมุมแบบอินทรีย์ ตามธรรมชาติไม่ใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารพิษ

สามารถใช้เป็นกำมะถันได้ กำมะถันนี้นอกจากจะช่วยในการไล่ หรือกำจัดไรแดงแล้ว ยังช่วยสมานแผลที่ไรแดงกินผิว ไม่ให้ลุกลาม หรือติดเชื้อเมื่ออากาศชื้น แต่การใช้กำมะถันนั้น ควรจะต้องใช้ในกรณีที่ไม่เคยใช้สารเคมีชนิดแรงมาก่อน เพราะไรแดงที่ผ่านการใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงมาก่อนแล้ว จะค่อนข้างมีอาการดื้อยากำจัดได้ยาก และการใช้กำมะถันนั้นจะต้องค่อยใช้สม่ำเสมอ หรือเริ่มใช้ในตอนที่ยังไม่ระบาดหนัก เพื่อควบคุมการระบาดได้ดี

ข้อดีของการใช้กำมะถันนั้น นอกจากจะเป็นการป้องกัน หรือกำจัดไรแดงแล้ว หากต้นมีแผลจากการกัดกินผิวต้น ตัวกำมะถันเอง ยังช่วยรักษาบาดแผล หรือป้องกันการเข้าทำลายของ เชื้อรา หรือแบคทีเรียได้ด้วย เพราะในกำมะถันนั้นมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อรา หรือแบคทีเรียอีกด้วย ทางการเกษตรแบบอินทรีย์ จึงแนะนำให้ใช้กำมะถันในการป้องกันไรแดง แต่ในการใช้นั้นควรศึกษาข้อมูลโดยละเอียดก่อนใช้งาน เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดพิษในพืช หากใช้ในปริมาณมาก หรือผิดวิธี

ในระหว่างการใช้กำมะถัน ผิวของต้นกระบองเพชรที่เป็นสีส้มจะค่อยสีอ่อนลง ซึ่งแผลที่เกิดจากการเข้าทำลายของไรแดง และถูกรักษาแล้วนั้น จะกลายผิวเกิดเป็นผิวด้านแข็ง สีน้ำตาล ซึ่งต้องรอเวลาให้ต้นโตขึ้น แผลเป็นจะไล่ลงโคนต้นเรื่อยๆ จนมองไม่เห็น

อีกหนึ่งประโยชน์ทางอ้อมในการใช้กำมะถัน คือยังช่วยบำรุงต้น ด้วยเป็นหนึ่งในธาตุรองที่ต้นไม้ต้องการ จึงทำให้เมื่อถูกน้ำชะล้างลงผิวดินก็ได้เป็นการบำรุงดินด้วยในตัว

การรักษาที่เป็นแผลติดเชื้อนั้น สามารถใช้ ไตรโคเดอร์มา ได้เช่นกัน ไตรโครเดอร์มา เป็นเชื้อราที่จะเข้าทำลาย ป้องกันยับยั้งการเกิดเชื้อราก่อโรค แต่ในการใช้ ไตรโครเดอร์มา นั้นไม่ควรผสม หรือควรเว้นระยะ หรือเลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควรใช้พร้อม หรือรวมกับกำมะถัน เพราะกำมะถันจะทำให้การทำงานของไตรโคเดอร์มาไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่เกิดผลลัทธ์

หรือจะใช้ น้ำส้มควันไม้ ที่ผ่านการบ่มพัก และแยกชั้นน้ำมันดินออกแล้ว ด้วยน้ำส้มควันไม้นั้นมีฤทธิ์ เป็นกรด ช่วยในการยับยั้งการเกิด เชื้อราและแบคทีเรียได้

ซึ่งในระยะการรักษาแผลที่เกิดจากเชื้อรา และแบคทีเรียนั้น กลุ่มสารอินทรีย์ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่นั้น จะมีฤทธิ์เป็นกรด ต้องคอยระมัดระวังในการใช้เพื่อป้องกันการเป็นพิษในพืช และหลังจากการรักษาโรคแล้ว ควรมีการบำรุงต้นควบคู่กันด้วย โดยให้อาหารบำรุงพืชเป็นอินทรีย์ต่างๆ เติมเพิ่ม และปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยหมัก จะช่วยลดความเป็นกรดในดิน และปรับค่าของดินให้สมดุล แต่หากดินมีค่าเป็นกรดสูงมากอาจจะต้องปรับด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่มีความเป็นด่าง เพื่อปรับภาวะดินกรดแทน

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ต้น “จันผา” ไม้ประดับ เลี้ยงง่าย ฟอร์มสวย แต่งสวนได้หลายสไตล์


จ้นผา ไม้ประดับที่นิยมนำมาแต่งสวนด้วย ลักษณะต้นไม้ที่มีฟอร์มต้นสวย และไม่ผลัดใบ อีกหนึ่งความพิเศษของจันผาคือ มีสรรพคุณทางยา มีฤทธิ์เย็น ใช้แก้ไข้ได้ ตามคติความเชื่อโบราณ หากปลูกแล้วออกดอก จะมีโชค

ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์นั้น จันผามีช่วงระยะการออกดอก เมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน ลักษณะของดอกนั้นจะเป็นพวกย้อย คล้ายโคมไฟแชงกาเรีย ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน หอมละมุนสดชื่น หากดอกมีการผสมเกสรก็จะติดผล เมื่อรอผลสุกเมล็ดสามารถนำไปขยายพันธุ์ได้ หรืออีกหนึ่งวิธีขยายพันธุ์ที่นิยมคือ การปาดให้แตกยอดใหม่ และนำกิ่งไปปักชำ












ต้นจันผานั้น มีหลากลายสายพันธุ์ และก็มีพืชบางต้นที่ลักษณะคล้ายกัน หรือเป็นพืชสกุลเดียวกับจันผา ( Dracaena ดราแคนน่า เป็นสกุลของต้นไม้ และไม้พุ่มอวบน้ำ ) โดยลักษณะสายพันธุ์จะหน้าตาแตกต่างกันไปตามภูมิภาค หรือถิ่นกำเนิด ในต่างประเทศจะมีชื่อเรียกว่า Dragon Tree สันนิษฐานได้ว่า น่าจะมาจะรูปร่างลักษณะของต้น ที่คล้ายหัวมังกรที่มีหลายหัวแตกออกมา

ไอเดียการแต่งสวนด้วย จันผา และต้นที่เป็นสกุลเดียวกับจันผา เหมาะกับการปลูกเป็นไม้ประธานประดับสวน ทุกสไตล์ ซึ่งเข้ากับ สวนหิน หรือสวนสไตล์ มินิมอล ได้ดี ด้วยต้นที่มีฟอร์มเรียบง่าย และมีเสน่ห์ที่โคนต้น เมื่อมีขนาดใหญ่หากเป็นการปลูกแบบลงดิน

ขอบคุณภาพไอเดียจาก : pinterest.com




ข้อควรรู้ในการปลูก ต้นจันผา

ต้นจันผา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ซึ่งสามารถมีอายุได้เป็น 100 ปี หากต้องการเลี้ยงให้ต้นมีขนาดใหญ่ ควรเป็นพื้นที่โล่งกว้าง แต่ถ้าหากต้องการปลูกแบบจำกัดสถานที่ให้ปลูกลงกระถาง แต่ต้องระวัง การวางกระถางบนดิน รากของต้นอาจจะชอนไชลงดินได้ ด้วยจันผาเป็นต้นไม้ที่หาน้ำ และอาหารเก่ง

และสิ่งสำคัญคือ ต้นจันผา ไม่ชอบดินแฉะ และถ้าบริเวณที่ปลูกเป็นที่ลุ่มน้ำท่วมขัง ต้องกั้นแนวปลูก ถมสูง หรือทำคั้นดิน เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นเน่า

วิธีการดูแล การปลูก

ต้นจันผา มีถิ่นกำเนิดมาจากป่า บริเวณที่เกิดจะอยู่ตามหน้าผาหิน ลักษณะราก จะมีรากแก้ว และรากฝอยจำนวนมากที่ช่วยเรื่องการยึดเกาะ และหาอาหาร รากฝอยจะเป็นรากเดินไปตามผิวดิน หากเจอพื้นที่แข็ง ที่เป็นหิน หรือปูน รากก็จะหลบ หาทางแทรก แต่ไม่ทำลายโครงสร้างของปูน สามารถตัดแต่งรากได้ ถ้ามีเยอะเกินไป

แต่ในการตัดแต่งรากนั้น ต้องระวังหากรากที่ตัดแผลไม่แห้งสนิท มีการอาการเน่า อาจทำให้เกิดการเน่าติดเชื้อ และลามสู้ต้นได้ ซึ่งการเน่าของจันผานั้น สังเกตได้ยาก เพราะด้วยลักษณะลำต้นเป็นเปลือกแข็ง ภายในลำต้นเป็นลักษณะคล้ายฟองน้ำ การเน่าที่เกิดภายใน จึงไม่แสดงออกมาให้เห็นชัดจนกว่า จะมีการเน่าที่รุนแรง และลุกลามแล้ว วิธีแก้ปัญหา คือ ตัดส่วนที่เน่าออก และรักษาแผลให้แห้งสนิท โดยนิยมใช้ปูนแดงทาแผลเมื่อตัดส่วนที่เน่าทิ้งแล้ว

จันผา เป็นไม้ที่ชอบแดดจัด แต่สามารถเลี้ยงในที่แดดน้อยได้ ถ้าหากแสงที่ได้รับไม่เพียงพอฟอร์มต้นอาจไม่สมบูรณ์ ดินที่ใช้ปลูกควรเป็น ดินร่วนที่ระบบน้ำได้ดี ไม่อมน้ำ ไม่แฉะ หรือดินป่นทราย รดน้ำวันละ 1 ครั้ง หรือสามารถ อดน้ำได้นาน ด้วยเป็นต้นไม้ที่มีความถึกทน แต่ถ้าขาดน้ำนานเกินไป หรือแล้งเกิน ใบจะเหลืองแห้ง ใบลีบ ต้นไม่อวบ หากต้องการให้ต้นอวบสมบูรณ์ ใบเขียว มีช่อดอก ให้บำรุงด้วยปุ๋ย อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา

ปลูกต้นหอม จากหัวหอมแดง ปลูกง่าย งอกเร็ว ไม่ต้องดูแลเยอะ เก็บกินได้ตลอด


หอมแดง เป็นผักสวนครัว ที่มีติดคู่ครัวคนไทย ชนิดที่เรียกได้ว่า เป็นวัตถุดิบพื้นฐาน ใส่อาหารได้หลากหลายอย่าง แต่ที่พบปัญหาบ่อยคือ การเก็บรักษาที่จะคงคุณภาพให้สดใหม่ วิธีที่นิยมทำคือ ตาก และแขวนไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเท เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อรา แต่ถ้าทิ้งไว้นานหัวก็จะฝ่อ และแห้งจนไม่สามารถนำมาใช้ได้

วิธีเก็บที่จะทำให้ใช้ได้นาน คือ นำหัวหอมแดง ใส่ในถุงตาข่ายที่เป็นตาข่ายที่ตาห่าง เหมือนกับถุงใส่ส้มในท้องตลาด แล้วเก็บใส่ตู้เย็นในช่องแช่ผัก ก็จะทำให้หอมไม่เป็นราง่าย แต่ถ้าเก็บไว้นานมากเกินไป ก็จะมีใบงอกออกมา









และอีกหนึ่ง ข้อดีของการเก็บ หัวหอมแดงในตู้เย็นคือ จะช่วยลดอาการแสบตา ในขณะที่หั่นหัวหอม โดยให้ทำการหั่น ซอย ตอนที่เอาออกมาจากตู้เย็นใหม่ๆ และหอมแดงยังเย็น ความเย็นจะช่วยลดการระเหยตัวของแก๊สที่อยู่ในหอมแดง จึงทำให้เราไม่แสบตาตอนที่หั่น ซอยหอม

ส่วนการเก็บแบบระยะสั้น ที่มีการทยอยใช้เรื่อยๆ และสามารถค่อยๆ แบ่งไปปลูกเพื่อกินใบ หรือที่เราเรียกกันว่า ต้นหอม วิธีเก็บใส่กล่องที่รองด้วยกระดาษทิชชูอย่างหนา จะช่วยกระตุ้นการเกิดราก และทำให้เราค่อยๆ นำไปทยอยปลูกที่ละส่วน หรือถ้าต้องการนำไปปรุงอาหารก็แบ่งไปใช้ได้ วิธีนี้จะทำให้เรามีต้นหอมกินอย่างต่อเนื่องไม่มากไม่น้อยไป แต่ก็มีข้อควรระวังคือ การเก็บแบบนี้อาจจะยังมีโอกาสการเกิดเชื้อราได้ ต้องค่อยหมั่นเปิดดู หากมีเชื้อราให้รีบแยกออกมาจากกล่อง

วิธีเลือกหอมไปใช้
หากดูแล้วว่า หอมที่ปลูกไว้มีจำนวนเยอะพอใช้ ก็ให้เลือกนำต้นที่มีรากแล้ว นำไปใช้ก่อน แต่ถ้าต้นที่เราปลูกไว้เริ่มทยอยฝ่อ ไม่มีใบออก หรือไม่พอรับประทาน ก็ให้นำต้นที่มีรากแล้ว ไปปลูกต่อ และเลือกใช้ต้นที่ยังไม่มีรากประกอบอาหารแทน วิธีนี้จะช่วยให้เราจัดการได้ง่ายขึ้น

วิธีการปลูก และดูแล ศัตรูพืช

สิ่งสำคัญ ในการปลูกต้นหอม จากหัวหอมแดงก็คือ ดินที่โปร่ง และระบายน้ำได้ดี แต่ต้องเก็บความชื้นได้เหมาะสม เพราะถ้ามีความชื้นเยอะเกินไป หรือน้ำขัง จะทำให้หัวหอมเน่าได้ง่าย ทริคเล็กๆ ในการคุมความชื้นก็คือ ให้เลือกกระถางที่มีทรงสูง ด้านล่างให้รองด้วยหิน หรือหินภูเขาไฟก้อนใหญ่ การเลือกใช้กระถางทรงสูง และรองก้นกระถางให้สูง จะช่วยเรืองการระเหยความชื้นในดินให้ช้าลง การรดน้ำ ดูแลก็จะสะดวก และง่ายขี้น

ด้านบนให้ใช้ดินที่มีส่วนของเนื้อดินไม่ต้องมาก ให้เน้นผสมวัสดุปลูกที่เพิ่มความโปร่ง แต่ยังช่วยเก็บความชื้นของดิน เช่น เม็ดดินเผา หินภูเขาไฟ แกลบดิบเก่า หรือเปลือกพืชที่เป็นเมล็ดเปลือกแข็ง แต่ถ้าเลือกใช้เป็นวัสดุที่คงทน อย่าง เม็ดดินเผา หรือหินภูเขาไฟ ก็ทำให้เราไม่ต้องเปลี่ยนวัสดุบ่อย และลดการเกิดเชื้อราจากการย่อยสลายของวัตถุอินทรีย์อีกด้วย

เตรียมดินพร้อมแล้ว ก็แค่วางหัวหอมลงบนดิน โดยไม่ต้องขุดเป็นหลุม เพียงแค่เขี่ยรากให้ไม่ลอยเหนือดิน ตอนวางหอมแนะนำให้วางเรียงชิดกัน จะช่วยให้ใบที่ขึ้นมาไม่ล้มได้ง่าย และนำไปวางไว้ในที่ที่มีแสงแดด 80-90% หากแดดน้อยจะทำให้ใบซีดสีไม่มีสีเขียวสด

หากใช้เป็นกระถางสูง ให้รดน้ำประมาณ 2-3 วัน/ครั้ง แต่ถ้าหากช่วงไหนแดดแรงความชื้นระเหยเร็ว ให้ปรับการให้น้ำให้ถี่ขึ้น

การให้ปุ๋ย เน้นเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยน้ำฉีดพ่นทางใบ 2-3 วั้น / ครั้ง และปุ๋ยอินทรีย์ หรือปุ๋ยคอ่กที่หมักแล้ว ใส่อาทิตย์ละครั้ง ใบที่งอกมาก็จะใบหนา ใบอวบสมบูรณ์ และการใส่ปุ๋ยอย่างต่อเนื่องทำให้ดินมีธาตุอาหารตลอด เมื่อนำหัวใหม่มาปลูกก็จะทำให้งอกไว้ และสมบูรณ์

ศัตรูพืช หรือโรคที่ต้องระวัง หอยทากมักจะชอบมากัดกินหัวหอมแดง ต้องคอยหมั่นสังเกต ส่วนเรื่องโรค ไม่ค่อยมีโรคกวนใจเนื่องจากเป็นการปลูกพืชระยะสั้น แต่ต้องคอยระวังเรื่องเชื้อรา หากดินแฉะไป หรืออากาศไม่ถ่ายเท หากกังวลเรื่องเชื้อรา สามารถใช้ ไตรโคเดอร์ม่า แบบชนิดผง โรยหน้าดิน หรือผสมน้ำฉีดพ่น นอกจากจะช่วยป้องกันเชื้อราแล้ว ยังช่วยบำรุงอีกด้วย

ระยะเวลาปลูก และวิธีการเก็บเกี่ยว

โดยปกติแล้ว จะมีระยะเวลาต่างกันตามความพร้อมของหัวที่นำมาปลูก
• หากเพิ่งเริ่มมีรากงอก เป็นรากสั้นๆ อาจจะใช้เวลา 2-3 อาทิตย์
• ระยะหัวที่มีรากยาวแล้ว แต่ยังไม่มีใบงอก จะใช้ระยะเวลา 10-15 วัน
• ระยะหัวที่มีรากยาวแล้ว และมีใบงอกยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร จะใช้ระยะเวลา 7-10 วัน
จึงสามารถเก็บมารับประทานได้ ซึ่งความสมบูรณ์ของใบก็มีผลมาจากความสมบูรณ์ของหัวหอมแดงที่เราเลือกมาปลูกด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นตอนที่จะเลือกนำปลูกควรเลือกที่ หัวสมบูรณ์

การเก็บไปรับประทาน ไม่ต้องถอนหัวออก แต่ให้ตัดตรงที่งอกออกมาจากปลายหัว หรือโคนใบ เพราะหอม 1 หัวนั้น สามารถเก็บกินได้หลายครั้ง จนกว่าหัวจะฝ่อไม่สมบูรณ์

วีดีโอการปลูกต้นหอม จากหัวหอมแดง

📌 รวมพิกัด ไอเท็มทำสวนไว้ให้เลือกช้อป !!

Advertisement  / โฆษณา