วัสดุโรยหน้ากระถาง กระบองเพชร ( แคคตัส ) ไม้อวบน้ำ ใช้อะไรได้บ้าง? แต่ละวัสดุมีข้อดีเสียยังไง?


ในการปลูกกระบองเพชร หรือไม้อวบน้ำ วัสดุใช้โรยหน้ากระถางนั้นมีความจำเป็น เพราะจะช่วยประคองต้นตั้งตรง ไม่ล้มง่าย ในธรรมชาติ กระบองเพชร จะแทรกตัวในดิน หรือซอกหิน เป็นการประคองต้นแบบธรรมชาติ และการโรยวัสดุ หรือหิน ยังช่วยให้ดินไม่กระเด็นเวลารดน้ำ ด้วยดินกระบองเพชร จะมีลักษณะเบาร่วนซุย ไม่จับตัวจะทำไห้ดินไหล หรือกระเด็นเมื่อโดนน้ำได้

มีวัสดุหลากหลายแบบ ให้เลือกใช้ตามความชอบ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ แตกต่างกันไป ทั้งเรื่องประโยชน์ ข้อดี และเสีย

ดินญี่ปุ่น อคาดามะ ( Akadama Soil )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อดินที่นำไปผ่านการอบที่อุณหภูมิสุง ดินจับตัวเป็นเม็ด เนื้อแข็งปานกลาง แตกง่าย เมื่อใช้มือบีบ สีของดินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ ทำให้สังเกตความชื้นในดินได้ง่าย สีเป็นธรรมชาติ สวยงามเมื่อนำมาตกแต่ง มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : เปี่อยยุ่ย ตามอายุการใช้งาน หากโดนน้ำบ่อย สถานที่ปลูกความชื้นสูง ก็จะทำเนื้อดินสึกกร่อนได้ง่าย นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
การกักเก็บความชื้น : ช่วยเก็บความชื้นพอประมาณ ตัวดินแห้งง่ายไม่อมน้ำมาก
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาค่อนข้างสูง

หินภูเขาไฟสีดำ หินลาวาดำ ( Black Volcanic Stone )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อหินที่มีความโปร่งพรุนสูง ลักษณะเนื้อหินมีความสาก ร่วน เนื้อค่อนข้างแข็ง ขนาดเม็ด จะไม่ค่อยสม่ำเสมอกัน เป็นก้อน หรือละเอียดบ้าง สีของหินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : มีความคงทนสูง ใช้งานได้นาน แต่เมื่อใช้ไปนานๆ อาจจะเป็นคราบขาวจากตะกอนน้ำได้ (ซึ่งไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต)
การกักเก็บความชื้น : หินแห้งง่าย ไม่เก็บความชื้นนาน หากเป็นไม้ที่ปลูกกลางแจ้ง หรือโดนฝน ก็จะทำให้ดินในกระถางแห้งเร็ว ไม่ทำให้โคนต้นเป็นคราบความชื้น นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาปานกลาง

ดินคานูมะ ( Kanuma Soil )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อดินนุ่ม แตก ยุ่ยง่าย มีแร่ธาตุในตัว สีเปลี่ยนเมื่อโดนน้ำ เนื้อดินเม็ด น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้
ความคงทน : เปี่อยยุ่ย ตามอายุการใช้งาน หากโดนน้ำบ่อย สถานที่ปลูกความชื้นสูง ก็จะทำเนื้อดินสึกกร่อนได้ง่าย นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
การกักเก็บความชื้น : เก็บความชื้นนาน แห้งช้า เหมาะกับไม้ที่ไม่ต้องการความชื้นเยอะ
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาค่อนข้างสูง

หินภูเขาไฟ ( Pumice )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อหินที่มีความโปร่งพรุน ลักษณะเนื้อหินมีความสาก น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้ สีของหินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ มีแร่ธาตุในตัว เบอร์ที่ใช้โรยหน้ากระถางควรเป็นเบอร์ใหญ่
ความคงทน : เป็นวัสดุที่คงทน อายุการใช้งานนาน สามารถล้างแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
การกักเก็บความชื้น : หินแห้งเร็ว ทำให้ดินไม่เก็บความชื้นนาน เหมาะกับไม้ที่ไม่ชอบความชื้น
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาปานกลาง

หินกรวด หินเกล็ด ( Pebble Stone, Crushed Stone )

ลักษณะของวัสดุ : แข็ง น้ำหนักเยอะ มีหลากหลายสีสันตามธรรมชาติ หากเป็นหินกรวดแม่น้ำ เม็ดจะมีลักษณะกลมมน หากหินเกร็ดจะเป็นหินภูเขา ลักษณะเม็ดเป็นแเหลี่ยม ไม่มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : เป็นวัสดุที่มีความคงทน นำมาล้างและ ใช้ซ้ำได้บ่อย
การกักเก็บความชื้น : ตัวหินไม่เก็บความชื้น แต่จะทำให้ดินในกระถางระบายความชื้นได้ช้า ด้วยตัวหินมีลักษณะแน่นทีบ หากขนาดยิ่งเล็ก จะทำให้เกิดความแน่นหน้าดิน และทำให้ดินแห้งช้า
ราคา : เป็นสินค้าที่มีแพร่หลายหาซื้อได้ง่าย ราคาย่อยเยาว์

เม็ดดินเผา เม็ดดินปั้น ( Popper , Clay Pebbles )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเม็ดกลม เนื้อค่อนข้างแข็ง เนื้อด้านในมีความพรุนสูง สีมีทั้ง น้ำตาล หรือดำ แล้วแต่ผู้ผลิต น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้
ความคงทน : เป็นวัสดุที่คงทน อายุการใช้งานนาน สามารถล้างแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
การกักเก็บความชื้น : ด้วยตัวของเม็ดมีลักษณะพรุน จึงทำให้กักเก็บความชื้นได้เยอะทั้งหน้าดิน และในกระถาง
ราคา : ราคาปานกลาง

กระบองเพชร สกุล โครีแฟนทา (Coryphantha) การเลี้ยง และดูแล


ลักษณะของต้น

เป็นกระบองเพชรที่มีจุดเด่นตรง หนาม ลักษณะของต้นเป็น เต้ากระจายรอบต้น ผิวของต้นสีเขียวเข้ม มีปุยขาวปกคลุมในช่วงระหว่างเตา แตกหน่อที่ปลายเตา หรือช่องระหว่างหน่อ สายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยง และพบได้บ่อยคือ C.elephantidens ( ช้างแคคตัส ) ที่มาจากภาษาลาติน ที่แปลว่า ฟันช้าง ตามลักษณะของหนามหนา และใหญ่

ลักษณะของดอก

เป็นสายพันธุ์ที่ออกดอกได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งปี ดอกมี 3 สี ชมพู เหลือง ขาว ที่พบบ่อยคือ สีชมพู ดอกใหญ่ สีกลีบ มันเงา กลีบดอกยาว จะเริ่มบานตั้งแต่สาย และบานเต็มทีในช่วงบ่าย ดอกหุบในตอนเย็น บาน 1- 2 วัน

การขยายพันธุ์

ผสมเกสร เมื่อติดฝักนำไปเพาะ ขยายพันธุ์ หรือใช้การเด็ดหน่อชำ

สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู

สกุลโครีแฟนทา หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า ช้างแคคตัส ชอบแดดจัด 75-90% อากาศถ่ายดีได้ไม่อับชื้น ยิ่งมีลมโกรก ก็จะช่วยป้องการเกิดโรคได้ดี สิ่งสำคัญคือ การวางต้น ควรมีการเว้นระยะไม่ให้แออัด แสงแดดส่องถึงได้ทั่ว ไม่เช่นนั้นจะผิวเสีย และเป็นโรคได้ง่าย ดินที่ปลูกต้องมีความโปร่ง ไม่เก็บความชื้นเยอะ ชอบน้ำมากว่าสายพันธุ์อื่นๆ หากต้องการให้ต้นโต เต้าใหญ่ แข็งแรง ต้องบำรุงด้วยปุ๋ย

โรค และศัตรูพืชที่พบบ่อย

ไรแดง, เพลี้ยหอย, เพลี้ยแป้ง, โรคจากแบคทีเรีย

ไอเดีย และวิธีจัดสวนถาดกระบองเพชร น่ารักๆ


รูปแบบการจัดสวนถาดกระบองเพชร ไม่ได้มีแบบ หรือกฎเกณฑ์ตายตัว เพราะขึ้นอยู่กับจิตนาการของผู้จัด การจัดมีทั้งที่เป็นสวนจำลองเล็กๆ หรือเป็นการปลูกรวมเหมือนจัดแจกันดอกไม้ โดยในการเลือกต้นที่ใช้จัด มีคำแนะนำว่า ควรเลือกประเภทของต้นที่ชอบแดด และน้ำใกล้เคียงกัน เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลต่อภายหลัง

ส่วนกระถางที่ใช้ปลูกควรมีรูระบายน้ำ และถ้าเป็นการปลูกในไทย ที่อากาศชื้นสูง ดินแห้งช้า ควรมีหิน หรือวัสดุที่มีความโปร่งรองก้นกระถาง เพื่อกันน้ำขัง และทำให้ต้นเน่าได้ง่าย

วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ : ดินปลูกกระบองเพชร หินรองก้นกระถาง หินโรยหน้าตกแต่ง หินประดับ ตุ๊กตาตกแต่ง

การดูแลรักษา : ควรวางไว้ในที่มีแสงแดด หรือหากปลูกในที่ๆ แสงน้อย ควรต้องนำมาวางโดนแดดเพื่อให้ต้นไม้ได้สังเคราะห์แสง ถ้าหากเลี้ยงในที่ที่แสงน้อย ไม่ควรนำมาวางกลางแดดแรงเลย เพราะจะทำให้ต้น ปรับตัวไม่ทันจนช็อกแดด หรือต้นไหม้เป็นแผลได้ ควรเป็นแดดที่ความเข้มข้น 60-70% การให้น้ำ หรือรดน้ำ ให้เมื่อดินแห้ง และรดให้ชุ่มไปจนถึงราก เพื่อป้องกันไม่ให้ต้นขาดน้ำ ไม่แนะนำให้ใช้ฟ็อกกี้ฉีดพ่น เพราะน้ำจะไปไม่ถึงราก อาจทำให้ต้นเหี่ยวหรือขาดน้ำได้

ขอบคุณภาพจาก : Pinterest

ไอเดียจัดมุมสวนเล็กๆ สไตล์มินิมอล ด้วยกระบองเพชร (แคคตัส)


สวนสไตล์มินิมอล เหมาะกับพื้นที่เล็กๆ ที่มีแสงแดดส่องถึงตลอดวัน การใช้กระบองเพชร หรือไม้อวบน้ำจัดสวน ช่วยให้พื้นที่ที่ดูแข็ง มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งกระบองเพชร หรือไม้อวบน้ำที่นิยมนำมาจัดสวน ก็จะเป็นจำพวกไม้ลำ หรือที่มีลักษณะเป็นใบ เช่น คอนโดนางฟ้า ใบเสมา ยูโฟเบีย เพราะมีขนาดใหญ่ และฟอร์มของต้นที่จัดแต่งได้ง่าย อาจจะแซมด้วย อากาเว่ หรือกระบองเพชรสกุล ถังทอง อิชินอป ด้านบนดินโรยตกแต่งหน้าด้วยหิน

ซึ่งสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอย่างมากในการจัดสวนกระบองเพชร คือ การมีทางระบายน้ำ ไม่ให้น้ำท่วมขัง และควรเป็นพื้นที่ที่มีแสงแดดเพียงพอกับความต้องการของกระบองเพชร ดินต้องไม่เก็บความชื้นมาก ควรเป็นดินทราย ดินโปร่งระบายน้ำได้ดี และควรมีการรองด้านล่างด้วยหิน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดน้ำขัง

ขอบคุณภาพจาก: Pinterest, Google

กระบองเพชร ตามธรรมชาติ เขาอยู่กันยังไง หน้าตาเหมือนแบบที่เรานำมาเลี้ยงกันไหม??


กระบองเพชร Cactus (แคคตัส) นั้นอาศัยอยู่ในพื้นแห้งแล้ง แทบทะเลทราย หรือเขตพื้นที่ร้อนชื้น มีถิ่นกำเนิดมาจากทางทวีปอเมริกาใต้ และแพร่หลายกระจายมาสู่แอฟริกา จนตอนนี้ได้มีเลี้ยง และกระจายตัวอยู่ทั่วทุกมุมโลก เป็นไม้ประดับที่ได้รับความนิยม และสร้างเป็นธุรกิจแพร่หลายไปในหลายประเทศ โดยมีประเทศที่เป็นนักพัฒนาสายพันธุ์ อันดับต้นๆ ของโลกคือ ญี่ปุ่น และไทย ซึ่งมี Breeder นักพัฒนาสายพันธุ์ ที่มีความสามารถมาก จึงทำให้กระบองเพชรจากสายพันธุ์หลัก แตกออกมามากมาย และมีรูปลักษณะหรือ หน้าตาที่หลากหลายมากขึ้น

จนบางทีหน้าตาที่อยู่ในธรรมชาตินั้นจะมีไม่หลากหลายเท่า ซึ่งกระบองเพชรในธรรมชาตินั้น จะมีรูปร่างผิวพรรณไม่ได้สวยงามเหมือนการนำมาเลีัยงดู เพราะต้นนั้นเป็นการอยู่รอดแบบธรรมชาติต้องทนแดด และอุณหภูมิที่สูง อาศัยน้ำจากฝน และน้ำค้างบ้าง ต้นจึงมีลักษณะซูบไม่อ้วนท้วนสมบูรณ์

ด้วยลักษณะรากของกระบองเพชรที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ และหาอาหารบนหน้าดิน จึงทำให้พบเห็นต้นอยู่ตามซอกดิน หรือซอกหิน เพื่อช่วยในการประคองยึดเกาะต้น ซึ่งในธรรมชาตินั้นการที่เราพบกระบองเพชรนั้น บางสายพันธุ์ ต้นเขาจะฝั่งอยู่ในดินเป็นส่วนมาก และมีหัวโผล่มาด้านบนเล็กน้อย หรือหากไม่สังเกตดีๆ

การงอก หรือเกิด ก็เป็นการผสมพันธุ์จากแมลง หรือต้นที่มีหน่อหลุด ก็จะหน่อแตกกอ หากการผสมเกสรของดอกสมบูรณ์และติดฝัก ฝักที่สุกสมบูรณ์ก็จะปริแตก จนมีเมล็ดด้านในออกมา เมื่อมีฝนตก หรือความชื้นเหมาะสม ก็จะงอกขึ้นตามธรรมชาติ

ขอบคุณภาพ : Pinterest

ดอกของเจ้ากระบองเพชร Cactus (แคคตัส) เสน่ห์ที่ใครหลายคนโดนตกให้หลงรัก


นอกจากความสวยงามในรูปร่างหน้าตาที่แปลกตา และมีความหลากหลายของเจ้ากระบองเพชรแล้ว ก็มีใครหลายคนที่หลงเสน่ห์เวลาที่เขาออกดอก ด้วยความน่ารัก ที่เวลาเขาออกดอก ทำให้ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมบางคนถึงกับหลงรักแบบหัวปักหัวปรำ ซึ่งการที่กระบองเพชรจะมีดอกได้ นั้นมีปัจจัยหลายๆ อย่าง ที่ต้องมาจากการเลี้ยงดู และสายพันธุ์ อายุ ฤดูกาล เป็นหลัก

หากใครที่ชอบชื่นชมดอกของเจ้ากระบองเพชร แนะนำให้เลี้ยงชนิดที่ ออกดอกได้บ่อย อาทิเช่น ตระกูล โลบิเวีย, แมมมิลลาเรีย, (บางชนิด) ยิมโนคาลิเซียม, โครีแฟนทา, รีบูเทีย

สิ่งสำคัญที่จะทำให้กระบองเพชร ออกดอกคือ แสงแดด และสารอาหารที่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัจจัยหลักและสำคัญ รองลงมาคือ เทคนิคต่างๆ เช่น การอดน้ำในบางช่วงที่จะช่วยกระตุ้นให้เขาเข้าสู่สภาวะการเอาตัวรอด เพื่อขยายพันธุ์ ก็จะทำให้เขาออกดอกได้มาก และเยอะกว่าปกติ

ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง >> เลี้ยงกระบองเพชรยังไงให้ออกดอก ??

ขอขอบคุณที่มาภาพ : pinterest, google

วิธีดูรากกระบองเพชร (แคคตัส) รากแบบไหนดี หรือมีปัญหา


สาเหตุสำคัญในการเลี้ยงกระบองเพชรอีกอย่างที่เราไม่ควรมองข้าม หากต้องการให้ต้นสมบูรณ์แข็งแรง ก็คือ ระบบของราก ซึ่งเปรียบเสมือนกลไกหัวใจหลักของต้น ที่ทำหน้าที่ในการดูดซึมอาหาร และแร่ธาตุที่จำเป็นต่างๆ ไปเลี้ยงต้น หากรากมีคุณภาพดี ก็จะส่งผลที่ดีโดยตรงต่อต้น

แล้วอะไร?? ที่เป็นปัจจัยที่ทำให้รากสมบูรณ์ คุณภาพดี

ปัจจัยหลักอย่างแรกคือ ดิน ที่เปรียบเสมือนเป็น บ้าน และห้องอาหาร ดินที่ดีควรมี แร่ธาตุ อากาศหมุนเวียน และระบบนิเวศในดินที่ดี กักเก็บความชื้นในเหมาะสมกับชนิดของต้น ซึ่งจะมีลักษณะเนื้อดินที่ร่วนซุ่ย ไม่เกาะตัวกันง่าย มีความชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ เมื่อรดน้ำทิ้งไว้สัก 1-2 วัน ดินจะต้องไม่เปียกชุ่ม หากเปรียบเปรยให้เห็นภาพ เหมือนผ้าที่ชุบน้ำแล้วบิด ดินจะมีลักษณะหมาดๆ แต่ไม่อมน้ำ เพราะถ้าหากดินแห้งติดต่อกันนานเกินไป อาจจะทำให้รากฝอยตาย หรือรากแห้งได้

ซี่งรากฝอยที่ทำให้การดูดซึม ความชื้น และแร่ธาตุ จะเป็นส่วนที่แห้งง่าย เมื่อปล่อยให้ดินแห้งเกินเป็นเวลานานก็จะทำให้รากส่วนนี้ตายได้ หรือในทางกลับกัน หากมีความชื้นเยอะ ซึ่งไม้อวบน้ำไม่ต้องการการความชื้นมาก รากฝอยก็จะเน่า

วิธีสังเกตเบื้องต้นได้ง่ายๆ จากหน้าดิน ว่ารากของต้นไม้มีปัญหาหรือไม่


คือ การสังเกตระยะเวลาการแห้งของดิน ( ในกรณีที่ใช้ดินญี่ปุ่นโรยหน้ากระถาง จะทำให้เห็นความชื้นในดิน จากสีของดินได้ง่าย ) หากต้นที่เรารดน้ำพร้อมๆ กัน ดินค่อยๆ ทยอย เริ่มแห้งแล้ว แต่จะสังเกตได้ว่า ต้นที่มีปัญหา ดินจะยังคงชื้นอยู่ตลอดเวลา อาจสันนิษฐานได้ว่า รากอาจมีปัญหา จึงทำให้การดูดซึมช้าลง

หรือสังเกตจากโคนต้นที่เริ่มยุบ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว หากได้รับน้ำเป็นปกติ แล้วตรงโคนต้นยังยุบ หรือย่นอยู่ นั่นอาจจะมีสาเหตุมาจากราก ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อย ก็คือ มีศัตรูพืช เช่นเพลี้ยแป้ง เกาะกินทำให้รากเสียหาย หรือต้นที่ไม่ได้รับการเปลี่ยนกระถางนาน รากแน่น เนื้อดินน้อยจนไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นได้

ซึ่งในการเปลี่ยนกระถาง จึงมีการแนะนำให้ตัดแต่งรากก่อนปลูก เพื่อกระตุ้นการเกิดรากใหม่ ที่จะมีประสิทธิภาพกว่า รากเดิมที่อาจจะเสื่อมสภาพ หรือเสียหายจากศัตรูพืช

แต่มีกรณียกเว้น หากต้นที่รากปกติ และเพิ่งเปลี่ยนดินมาไม่นาน แต่ต้นโตเร็ว และไม่อยากตัดรากให้ต้นชะงัก หรือต้องฟื้นตัวใหม่ ก็จะสามารถเปลี่ยนกระถางได้เลยโดยไม่ต้องตัดแต่งราก แต่ให้เว้นระยะ การรดน้ำแบบชุ่มในช่วงแรก แต่ให้โชยน้ำเพื่อรักษาความชุ่มชื่นในดินช่วงแรก ในระหว่างที่ต้นกำลังฟื้นตัว ประมาณ 7-12 วัน หลังจากสังเกตว่าระบบราก เซตตัวได้ดีแล้ว จึงรดน้ำตามปกติ

คำถามที่จะพบบ่อย ว่า แล้วหากต้นโคนยุบ จะต้องทำอย่างไร

หากเป็นการยุบไม่มากจาก รากที่เก่าเสื่อมสภาพ หลังจากตัดแต่งราก และลงปลูก จนต้นฟื้นตัว โคนต้นก็จะกลับมาเต่งตึงตามปกติ หากโคนยุบเยอะมากเท่าไหร่ก็ต้องใช้ระยะเวลาฟื้นฟูนานเท่านั้น อีกวิธีที่ใช้กระตุ้นรากให้งอกและฟื้นเร็ว คือการใช้ความชื้นมากขึ้นเพื่อล่อรากให้งอกด้วยวัสดุที่กักเก็บความชื้นได้ดีเช่น เม็ดดินเผา

บทความที่เกี่ยวข้องวิธีรักษา และอาการต้นเหี่ยว โคนยุบ ของแคคตัส (กระบองเพชร) >> คลิก <

ไม้อวบน้ำ ฮาโวเทีย ( Haworthia) การเลี้ยง และดูแล


ฮาโวเทีย ไม้อวบน้ำ วงศ์เดียว กับว่านหางจระเข้ ทำให้ลักษณะกายภาพบางอย่างจึงดูคล้ายกัน เป็นไม้อวบน้ำที่มีลักษณะสวยงาม ยิ่งเมื่อใบได้สะท้อนกับแสง จะคล้ายกับ แก้วที่ส่องประกายแวววาว

ลักษณะของต้น

ฮาโวเทีย มีทั้งที่เป็นใบใส และใบแข็ง ใบเป็นสีเขียว และมีที่ใบด่าง ลักษณะใบมีหลากหลายลักษณะ กลม เรียวยาว ปลายแหลม ปลายตัด เนื้อใบด้านในจะมีวุ้น และมีส่วนที่ใส ไว้รับแสง หรือเรียกว่า “เลนส์ใบ” ต้นจะกางออกเป็นช่อ มีลักษณะเป็นพุ่ม และทรงพัด สายพันธุ์มีที่เป็น ธรรมชาติ และที่ได้ผ่านการพัฒนามาจนเกิดเป็นหน้าตาแปลกใหม่ ที่เป็นลูกผสม (ไฮปริด) มากมาย รากจะเป็นรากที่ไม่แข็ง เปราะหักง่าย ลักษณะคล้ายรากของบัว

ลักษณะของดอก

ฮาโวเทียจะมีก้านดอกที่ยาวชูช่อ ดอกเรียงกันไปตามก้านดอก ดอกสามารถผสมเกสรได้

การขยายพันธุ์

สามารถเพาะเมล็ด, ชำหน่อ, วางใบ แต่วิธีที่นิยมใช้ คือการชำหน่อ ที่จะทำได้ง่าย และการดูแลไม่ยุ่งยาก หน่อมีทั้งที่เป็นหน่อที่แตกมาจากรากของต้น และหน่อที่ได้มาจากที่เราปาดยอด การปาดยอด หรือเรียกได้อีกอย่างว่า “ยกยอด” ทำให้เกิดหน่อใหม่ขึ้นมาแทน ยอดเดิม ซึ่งอาจจะมีโอกาสมีหน่อเพิ่มขึ้นมามากกว่า 1 หน่อ

ในการชำหน่อ สามารถชำในดินปลูกได้ แต่รากอาจจะมาช้ากว่า และค่อนข้างเสี่ยงที่โคนราก จะเน่า หรือฝ่อ ก่อนที่รากจะมา ทำให้การล่อราก ส่วนใหญ่จะใช้เป็นวัสดุที่ควบคุมความชื้นได้ง่าย ในการล่อรากก่อนนำมาปลูกลงดิน วัสดุที่ใช้ก็หลากหลายแล้วแต่ความเชี่ยวชาญ และถนัดของแต่ละบุคคล ที่นิยมใช้ก็มี หินภูเขาไฟ, ดินคานูมะ, ดินอคาดามะ, สแฟกนั่มมอส, เม็ดดินเผา ซึ่งในช่วงที่ล่อรากนั้น การรักษาความชื้นในสม่ำเสมอสำคัญมาก วัสดุล่อรากควรจะต้องมีความชื้นที่เหมาะสม แต่ไม่แฉะหรือ ขังน้ำ

สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู

ฮาโวเทีย เป็นไม้อวบน้ำที่ไม่ ชอบแดดจัด เหมือนกระบองเพชร ในธรรมชาติจะซ่อนตัวอยู่ใต้ต้นไม้ หรือ ซอกโขดหิน จะมีชนิดใบแข็งที่สามารถ อยู่กลางแดดจัดได้ ต้องการแสงแดดทั้งวัน เป็นการพรางแสง แดดประมาณ 50-70% สามารถเลีัยงใต้ชายคาบ้านที่มีแสงส่องถึงได้ แต่ต้องคอยหมุนต้น, กระถาง หาแสง เพื่อให้ต้นได้รับแสงรอบด้าน หากได้รับแดดด้านเดียว อาจทำให้ต้นโตผิดฟอร์ม ใบไม่เท่ากัน

สิ่งสำคัญในเลี้ยงคือ ไม่ชอบอากาศร้อน และอบ จึงไม่ค่อยเหมาะกับการเลี้ยงโรงเรือนปิด ชอบอากาศเย็น มีลมพัดผ่าน อากาศถ่ายเทดี ฮาโวเทียจึงชอบช่วงฤดูหนาว ที่มีความชื้นบางๆ อากาศเย็นๆ ใบจะเป่งอวบอิ่ม และใสมาก

ช่วงอันตรายคือ ฤดูร้อน ที่อาจจะทำให้ใบไหม้ ต้นเหี่ยว หรือทิ้งราก จนทำให้ต้นดูโทรมไม่สดใส ใบไม่เขียว ต้นลีบ ใบอาจจะกลายเป็นสีอมม่วงแทน วิธีแก้คือ ในฤดูร้อนควรจะโชยน้ำบางๆ ในช่วงเย็น เพื่อช่วยระบายความร้อนจากดิน และต้น

วีดีโอการโชยน้ำ ต้องทำยังไง >> คลิก <<


ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินที่โปร่ง เนื้อดินไม่จับตัว ไม่อุ้มน้ำจนแฉะ แต่ควรเก็บความเก็บความชื้นได้ดี เพราะจะทำให้รากเน่าได้ง่าย สามารถใช้ดินปลูกกระบองเพชร หรือดินปลูกไม้อวบน้ำปลูกได้ ลักษณะของดินไม่ควรมีส่วนผสมของทรายละเอียดมาก เพราะเมื่อปลูกไปสักระยะเนื้อดินหมด หรือยุบตัว ทรายจะไหลไปกองรวมกันจับตัวให้เกิดการแฉะก้นกระถาง วัสดุที่ใช้โรยหน้ากระถาง ควรระบายความชื้นได้ดี เพื่อป้องกัน การเน่าโคนต้น เน่าคอดิน

รดน้ำมือดินแห้งเป็นหลัก ไม่ควรใช้การนับวัน เพราะในแต่ละฤดูดินแห้ง ช้าเร็วต่างกัน หากใช้ ดินญี่ปุ่นอคาดมะ หรือหินลาวาดำ โรยหน้ากระถาง ก็จะทำให้สังเกตความชื้นได้ง่ายด้วย โดยสังเกตว่าดินญี่ปุ่นแห้งแล้ว เว้นสัก 1-2 วันก็รดน้ำได้เลย และสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกประการคือ อย่าให้ขาดน้ำนานเกินไป เพราะต้นจะทิ้งราก สรุปคือ การให้น้ำของฮาโวเทีย ค่อนข้างสำคัญต่อต้นมาก รดมากไป เน่า ใบปริแตก รดน้อยไป ใบแห้ง ต้นทิ้งราก

และการฟื้นฟูต้นให้กลับมาแข็งแรง สดใส ใหม่อีกครั้งสำหรับฮาโวเทียนั้นใช้เวลาค่อนข้างนาน กว่าไม้อวบน้ำประเภทอื่นๆ บางทีอาจจะต้องใช้ระยะเวลา 4-8 เดือน หรือมากกว่านั้น กว่าต้นจะกลับมาสวยใสดังเดิม ฮาโวเทีย จึงจะต้องใช้เวลาใส่ใจมากกว่า ไม้อวบน้ำประเภทกระบองเพชร หากต้องการให้ต้นสวย ใส อวบอิ่มตลอด

โรค และศัตรูพืชที่พบบ่อย

เพลี้ย, ไรแดง, โรครากเน่า, อาการทิ้งราก, ใบช้ำ

ขอบคุณวีดีโอ : Youtube Chanel / Aj’s Cacti

ไม้อวบน้ำ สายพันธุ์ กุหลาบหิน ( Succulent ) การเลี้ยง และดูแล


ลักษณะของต้น

กุหลาบหิน ลักษณะของต้น จะคล้ายดอกไม้ มีทั้งเป็น ทรงกลม หรือเป็นพวงช่อยาว สีสันของต้น มีหลายเฉดสี ไม่ว่าจะออกเป็น เขียวอมฟ้า เขียวอมชมพู เขียวอมม่วง บนผิวใบจะมีลักษณะเป็น แป้งนวลสีขาว หรือเป็นที่เรียกกันว่า Wax เคลือบผิวใบ ที่เกิดจาการต้นสร้างขึ้นมาเอง เพื่อช่วยในการปกป้องผิวใบจากแสงแดด

ลักษณะของรูปทรงใบ มีแตกต่างไปตามสายพันธุ์มีทั้งที่เป็น ช่อกลุ่มใบเล็กๆ ทรงพุ่ม และเป็นช่อใบใหญ่ ใบและต้นมีลักษณะ อ่อน เปราะ หักง่าย รากจะเป็นรากฝอยๆ ขนาดเล็กกระจายทั่ว เมื่อต้นแก่จะมี ลำต้นจะแข็งขึ้น, หรือมีลักษณะเป็นโขด

ลักษณะของดอก

ลักษณะของดอกจะชูขึ้นมา โดยมีก้านดอกยาว และปลายดอกเป็น ดอกเล็กเรียงกัน หรือเป็นพวงยาวตามก้านดอก โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีดอกเมื่อต้อมีอายุมาก และหลังจากออกดอกต้นจะโรย และตาย ส่วนมากถ้าต้นมีดอกจะนิยมตัดทิ้ง เพื่อรักษาต้นไว้ไม่ให้ตาย

การขยายพันธุ์

สามารถ ชำกิ่ง, วางใบ. เพาะเมล็ด, แต่วิธีที่นิยมใช้ คือ วางใบ การวางใบจะทำให้ได้ต้นใหม่ที่แข็งแรง เพราะต้องใช้ระยะเวลา ในการปลูกดูแล และเติบโตต้นจะค่อยๆ งอก แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ และปรับสภาพกับอากาศได้ดี

สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู

กุหลาบหิน เป็นไม้ที่ชอบอากาศเย็น และแสงแดด ตลอดวันโดยเป็นแดด ที่พรางแสงหรือแดด 70-80 เปอร์เซ็นต์

สามารถเลี้ยงกลางแจ้งได้ ในบางชนิด แต่ต้องค่อยๆ ใช้วิธีเทรนแดด ให้เขาปรับตัวกับแดดจัด แต่ข้อเสียในการเลี้ยงกลางแจ้ง คือ ด้วยสภาพอากาศประเทศไทย เป็นร้อนชื้น สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ร้อนจัด แดดแรง หรือ ฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน จะทำให้กุหลาบหิน เป็นโรคป่วยได้ง่าย

ยกเว้นในบางพื้นที่ ที่มีอากาศเย็น และฝนน้อย อย่างภาคเหนือ หรือ อีสานตอนบนของประเทศ สามารถปลูกกลางแจ้งได้ ดีกว่า ด้วยสภาพอากาศที่เหมาะสม จะทำให้ต้นแข็งแรง ได้ฟอร์มสวยมากกว่า

ซึ่งในการเทรนแดด ต้องอาศัยเวลาในการให้ไม้ค่อยๆ ปรับตัวเพื่อจะสร้างใบใหม่ที่แข็งแรง และทนกับสภาพอากาศที่เลี้ยงปัจจุบันได้ดี

กุหลาบหิน ชอบดินที่โปร่งร่วนซุย สามารถใช้ดินลักษณะเดียวกับกระบองเพชรในการปลูกได้ รดน้ำเมื่อดินแห้ง รดจนออกก้นกระถาง แล้วทิ้งช่วงจนดินแห้ง หลังจากดินแห้ง 1-2 วัน จึงรดน้ำใหม่ หากสถานที่ปลูกอากาศถ่ายเทได้ดี ต้นจะไม่เป็นคราบน้ำ แป้งนวลก็จะไม่หลุด จนทำให้ใบดูด่างเป็นจุดขาวไม่สวยง่าย ในช่วงฤดูฝนควรต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะจะเกิดอาการเน่า โรคที่เกิดจากเชื้อราแบคทีเรียได้ง่าย

หากต้องการเลี้ยงให้ได้สี และฟอร์มสวย ไม่ควรใช้ปุ๋ยที่มี ไนโตรเจนสูง เพราะจะทำให้ใบเป็นสีเขียว มากกว่าสีสันสดใส ตามลักษณะของต้น หากเลี้ยงแสงแดดเพียงพอ ของต้นจะมี Wax ขาวปกคลุมผิวใบ และต้นสีสด ฟอร์มกระชับ

โรค และศัตรูพืชที่พบบ่อย

เพลี้ย, ไรแดง, โรครากเน่า, ไหม้แดด, ใบช้ำน้ำ, เน่าคอดิน

บทความที่เกี่ยวข้อง

• การวางใบ ชำใบ เพื่อขยายพันธุ์ ไม้อวบน้ำ กุหลาบหิน ซัคคิวเลนท์ ( SUCCULENT ) >> คลิก <<