เชื้อรา ไตรโคเดอร์มา Trichoderma คืออะไร มีประโยชน์อะไรบ้าง ?? และวิธีการใช้ควบคุมโรคพืช


ไตรโคเดอร์มา เป็นสิ่งมีชีวิต เชื้อราชั้นดีชนิดหนึ่ง ที่ถูกดึงเอามาใช้ในการเกษตรที่ไม่ต้องการใช้สารเคมี เพื่อป้องกัน และควบคุมโรคพืช ที่เกิดจากเชื้อราก่อโรค โดยให้เป็นกลไกการเข้าทำลายเชื้อราก่อโรคตามธรรมชาติ ซึ่งกระบวนการเข้าทำลาย แย่งอาหาร ขยายตัวครอบคลุมเชื้อราก่อโรค ส่งผลให้ผนังเซลล์ของเชื้อราก่อโรคถูกทำลาย และเชื้อราไตรโคเดอร์มาจะสร้าง และปลดปล่อยสารปฏิชีวนะออกมา ซึ่งสารนั้นมีคุณสมบัติในการยับยั้ง และทำลายเชื้อราก่อโรค

เชื้อราไตรเดอร์มานั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ อาทิเช่น Trichoderma Harzianum, Trichoderma Viride, Trichoderma Amatum แต่ที่นิยมใช้และมีการวิจัยว่า ทนต่อสภาพอากาศของประเทศไทย คือ Trichoderma Harzianum

ส่วนเชื้อราก่อโรคได้แก่

เชื้อรา พิเทียม ( Pythium ) เป็นสาเหตุของ โรคเน่าระดับดิน กล้ายุบ กล้าเน่า
เชื้อรา ฟิวซาเรียม ( Fusarium ) เป็นสาเหตุของ โรคเหี่ยว
เชื้อรา สเคลอโรเทียม ( Sclerotium rolfsii ) เป็นสาเหตุของ โรคโคนเน่า เหี่ยว
เชื้อรา ไรซอคโทเนีย ( Rhizoctonia ) เป็นสาเหตุของ โรคเน่าระดับดิน กล้าเน่า
เชื้อรา คอลเลโททริคัม ( Colletotrichum ) เป็นสาเหตุของ โรคใบจุด แอนแทรคโนส
เชื้อรา อัลเทอร์นาเรีย ( Alternaria ) เป็นสาเหตุของ โรคใบจุด ใบไหม้

การนำไปใช้งาน และประโยชน์ ของเชื้อรา “ไตรโคเดอมา”

“ไตรโคเดอร์มา” เป็นเชื้อราดี ที่ไม่มีอันตราย พืช คน และสัตว์ มีคุณสมบัติในการเข้าทำร้าย เชื้อราร้ายที่ก่อให้เกิดโรคกับพืช ไตรโคเดอร์มา มี 3 รูปแบบ คือ ชนิดผง ชนิดน้ำ และเชื้อสด

ารใช้งานหากต้องการให้ได้ผลดี จึงเป็นลักษณะการใช้เพื่อป้องก้น ก่อนการเกิดโรคต่างๆ หากในระยะที่ติดเชื้อ หรือเกิดโรคแล้วจะควบคุมได้ค่อนข้างยากกว่า ดังน้้นการใช้งานในช่วงที่ระบาดจึงต้องมีความถี่ และใช้ควบคู่กับการดูแลด้านอื่นๆ

  • ควบคุม ยับยั้ง เข้าทำลาย เชื้อราร้ายต่างๆ ที่ก่อให้เกิดโรคกับพืช
  • กระตุ้น และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของพืชให้แข็งแรง ต้านทานโรคได้ดี
  • ช่วยย่อยสลาย อินทรีย์วัตถุในดิน เพื่อเพิ่มธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์
  • ปรับเปลี่ยนธาตุอาหารในดิน เพื่อให้อยู่ในรูปแบบที่พืชสามารถนำไปใช้ได้ดี
  • ช่วยกระตุ้นให้พืชแข็งแรง ต้านทานโรค และมีผลผลิตที่ดี
  • ช่วยปรับโครงของดินที่ มีสภาวะดินเสื่อม ที่เเป็นสาเหตุให้พืชอ่อนแอ และเกิดโรคได้ง่าย

การใช้งาน
  • ใช้คลุกเมล็ดพันธุ์ เพื่อป้องกันโรคที่อาจติดมากับเมล็ดพันธุ์
  • รองก้นหลุม ที่ต้องการปลูกพืช
  • ผสมกับวัสดุปลูก ดินปลูก หรือปุ๋ยหมักต่างๆ
  • การฉีดพ่นตามใบ ต้น หรือดิน หรือรดโคนต้น
  • โรยหน้ากระถาง หว่านลงดิน หรือแปลงปลูก
ข้อจำกัดในการใช้งาน
  • ไม่ควรใช้งานในช่วงที่แสงแดดจัด อากาศร้อน เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากเชื้อตาย
  • ก่อนใช้งาน รดน้ำให้ดินมีความชื้นพอเหมาะ หรือแฉะจนเกินไป
  • ไม่ควรใช้งานร่วมกันกับสารเคมี เพราะอาจเข้าไปยับยั้ง หรือทำให้เชื้อตาย และหมดประสิทธิภาพได้ **หากมีความจำเป็นต้องใช้งานสารเคมี ควรเว้นระยะในช่วง 7-10 วัน ก่อน หรือหลังการใช้เชื่อราไตรโคเดอร์มา
  • ไม่ควรใช้กับการเพาะเห็ด เพราะเชื้อราไตรโคเดอร์มา เป็นเชื้อราที่กินเชื้อราเป็นอาหาร ( ซึ่งเห็ดเป็นพืชอยู่ในกลุ่มรา )

คำแนะนำสำคัญในการใช้คือ ไตรโครเดอร์มาเหมาะกับพืชที่ยังไม่แสดงอาการของโรค ใช้เพื่อป้องกันจะได้ประสิทธิภาพดีกว่าโดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่ ระยะเพาะเมล็ด การเตรียมต้นกล้าพืช

หากพืชแสดงอาการของโรคแล้ว ให้เพิ่มความถี่ในการใช้งาน แต่หากมีการระบาดรุนแรง อาจไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคได้ทันท่วงที จึงจำเป็นต้องใช้วิธีอื่นๆ เข้าร่วมด้วย

แต่ถึงแม้จะมีข้อจำกัดใดๆ หากเราป้องกันไว้ดี หรือดูแลสม่ำเสมอการเกิดโรคก็มีอัตราต่ำ และที่สำคัญคือ การลด หรือหยุดใช้สารเคมี นั้นจะส่งผลที่ดีในระยะยาวอย่างแน่นอน

ทำไม?? หลังผสมดินปลูกแล้ว ควรพัก หมักบ่มดิน ก่อนใช้


ในการผสมดินปลูกพืช หรือต้นไม้ เป็นการนำอนินทรีย์วัตถุ และอินทรีย์วัตถุต่างๆ มาผสมกัน เพื่อให้เป็นธาตุอาหารแก่พืช ใช้ในการเจริญเติบโด โดยมีจุลินทรีย์ต่างๆ เกิดกิจกรรม การย่อย และปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาในดิน ซึ่งในระหว่างที่จุลินทรีย์เจอกับอาหาร และมีกระบวนการย่อยสลายนั้น จะทำให้เกิดก๊าซ และความร้อน รวมทั้งในจุลินทรีย์บางชนิด ต้องใช้ก๊าซในการดำรงชีวิต และย่อย เช่น ก๊าซออกซิเจน และไนโตรเจน

นั่นจึงเป็นสาเหตุ ที่เราควรจะต้องพักดินก่อนนำไปปลูก เพื่อป้องกันไม่ให้ในระหว่างการย่อยสลายของจุลินทรีย์ที่ยังไม่สมบูรณ์นั้น ทำให้เกิดสภาวะความร้อนในดินสูง จนทำให้รากไหม้ และโดนจุลินทรีย์แย่งออกซิเจน และไนโตรเจนในดิน ซึ่งกระบวนการย่อยสลายนั้น ใช้ระยะเวลาแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัสดุปลูกที่เลือกนำมาใช้เป็นส่วนผสม

หากเป็นพืชสด หรือซากพืช มูลสัตว์ ที่ยังมีการย่อยสลายไม่สมบูรณ์ จะต้องใช้ระยะเวลานาน กว่าจุลินทรีย์จะทำการย่อยสลายเสร็จสมบูรณ์ จนดินเย็นตัวพร้อมใช้งาน

ฉะนั้นหากต้องการลดระยะเวลาการหมักดินก็ควรเลือกปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักที่ผ่านการย่อยสลายมาแล้ว เช่น น้ำหมักจุลินทรีย์ต่างๆ มูลไส้เดือน ที่ได้จากการย่อยสลายมูลวัว และพักทิ้งไว้จนคลายก๊าซ และความร้อนแล้ว มูลค้างคาวเก่า ที่ผ่านการตกผลึกย่อยสลายทิ้งไว้จนก๊าซในมูลได้สลายตัวแล้ว หรือปุ๋ยหมักที่ผ่านการหมักจนเย็นตัว จะช่วยลดระยะเวลาการหมักบ่มดิน

ซึ่งระยะเวลาการพักหรือหมักบ่มดิน ที่มีส่วนผสมของอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายตัวดีแล้ว จะใช้ระยะเวลา 7-15 วัน อย่างต่ำ แต่ถ้าหากเป็น ปุ๋ยพืชสด หรือใบไม้พุที่ยังย่อยสลายไม่ดี จะใช้ระยะเวลาประมาณ 2-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และปริมาณจุลิทรีย์ที่มีอยู่ในดิน

และที่สำคัญ ในการหมักบ่มดินนั้น ควรจะต้องรักษาอุณหภูมิ และความชื้นให้เหมาะสม ในช่วงระยะแรกที่เป็นการหมักบ่มแบบปิด ควรให้ดินมีความชื้นสูง แต่ต้องไม่เปียกแฉะหรือประมาณ 60% เพื่อกระตุ้นการขยายตัวของจุลินทรีย์ ซึ่งในช่วงนี้อุณหภูมิในดินจะสูงสุด เมื่อผ่านช่วงแรกที่กระตุ้นการขยายเชื้อแล้ว ให้หมักบ่ม แบบเปิด เพื่อมีอากาศหมุนเวียนในดิน และหมั่นคลุกกลับพลิกดิน เพื่อให้ออกซิเจนหมุนเวียนในดิน

ในการหมักสามารถทำได้ในหลากหลายพื้นที่ตามความสะดวก และเหมาะสม เช่น หากเป็นการปลูกลงดิน ให้หมักบนที่ที่จะใช้ปลูกได้เลย หมักใส่กระถางที่เราต้องการจะปลูก หมักใส่ภาชนะที่ปิด ข้อดีของการหมักในภาชนะที่ปิด ก็คือ ป้องกันโรค และแมลงได้ดี หรือจะหมักใส่กระสอบทิ้งไว้แล้วเก็บไว้ใช้นานๆ การหมักบ่มนาน ไม่ได้ส่งผลเสียใดๆ

วิธีเช็คเบื้องต้นว่า ดินพร้อมใช้งานแล้วหรือยัง??

ให้นำมือล้วงลงในดิน และดูว่าดินยังมีความร้อน หรืออุ่นอยู่หรือไม่ หากดินเย็นตัวลงแล้วก็พร้อมที่จะใช้งานได้

แล้วถ้าเราไม่หมักดิน ผสมเสร็จแล้วใช้เลย จะเกิดอะไรขึ้น??

สิ่งที่เห็นได้ภายนอกชัดเจนก็คือ ต้นอาจจะเหลือง หรือเหี่ยว ถ้าเป็นที่ระบบรากอาจจะไม่แสดงอาการชัด แต่จะทำให้ต้นหยุดชะงักการเจริญเติบโต เพราะดินมีความร้อน และรากไหม้ จากกิจกรรมการย่อยของจุลินทรีย์ที่ยังสมบูรณ์ ได้แย่งก๊าซในดินไปใช้ด้วย ซึ่งหากเราหมักบ่มดินได้ดี ต้นที่ปลูกใหม่นั้นจะงาม และเติบโตเร็ว จากธาตุอาหารที่จุลินทรีย์ได้ทำการย่อยให้เรียบร้อยแล้ว

ประโยชน์จากการหมักบ่มดิน ทำให้จุลินทรีย์ในดินหรืออินทรีย์วัตถุ ที่เราผสมเพิ่มทำงานสมบูรณ์ ดินก็จะร่วนซุยมีช่องว่าง ทำให้มีอากาศหมุนเวียนในดินได้ดี รากก็จะเดินดี จุลินทรีย์จะปลดปล่อยธาตุอาหารที่ได้จากการย่อยสลาย ซึ่งพืช หรือต้นไม้ดึงไปใช้ได้เลย ต้นก็จะฟื้นตัวเร็ว ไม่ชะงักการเจริญเติบโต

คุณสมบัติ ดินดี มีคุณภาพ ที่เหมาะสมกับการเพาะปลูก ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง


การเตรียมดิน ดินปลูกพืช ดินปลูกต้นไม้ เป็นปัจจัยหลักในการทำให้ได้ต้นไม้ที่แข็งแรง ได้ผลผลิตดี และต่อเนื่อง ซึ่งหลังจากการปลูกแล้ว สิ่งที่จะต้องดูแลแลทำต่อเนื่องคือ การรักษาสมดุลในดิน ให้เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืช หรือต้นไม้

เพราะถ้าหากขาดการดูแลเอาใจใส่อย่างต่อเนื่องแล้วนั้น สิ่งที่จะตามมาก็คือ สภาวะเสียสมดุลในดิน จนทำให้ค่า กรด-ด่างในดินไม่เหมาะกับพืช หรือต้นไม้ จนสุดท้ายอาจทำให้เกิดภาวะดินตาย หรือดินเสื่อมคุณภาพ ซึ่งจะส่งผลเสียโดยตรงกับพืช หรือต้นไม้ ทำให้เกิดการขาดธาตุอาหาร ขาดออกซิเจนในดินที่ส่งผลกับราก และทำให้ต้นอ่อนแอลง เกิดโรคได้ง่าย จนทำให้ต้นไม่สามารถเจริญเติบโต ผลิดอก ออกผล ได้ตามเกณฑ์ปกติ หรือยืนต้นตายในที่สุด

ในการเพาะปลูกพืช หรือต้นไม้ ในพื้นที่เดิม กระถางเดิม เป็นระยะเวลานาน ดินจะเสื่อมคุณภาพลง จากการที่ต้นดึงแร่ธาตุ และสารอาหารไปใช้อย่างต่อเนื่อง และอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลในระยะยาวของสภาวะดินเสื่อมก็คือ การใช้สารเคมีกับพืช และต้นไม้ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสารเคมีที่อยู่ในดินนั้น อยู่นานกว่าธรรมชาติจะปรับสภาพดิน หรือชะล้างออกไปได้ ซึ่งอาจจะใช้เวลาหลายปี และเมื่อถูกชะล้างแล้วยังส่งผลกระทบไปถึงระบบน้ำธรรมชาติในละแวกใกล้เคียงอีกด้วย

ดังนั้นการดูแล และบำรุงดิน โดยใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาตินั้นส่งผลดีกับดินทุกๆ ด้าน ในระยะยาวของระบบนิเวศ และต้วของผู้ปลูกเองด้วย

ซึ่งองค์ประกอบของดินที่เหมาะสมกับการเพาะปลูกพืช หรือต้นไม้
ประกอบไปด้วย 4 ส่วน คือ อนินทรีย์วัตถุ 45% น้ำ 25% อากาศ 25% อินทรีย์วัตถุ 5%

อนินทรีย์วัตถุ
อนินทรียวัตถุ หรือแร่ธาตุ เป็นส่วนที่สำคัญในการควบคุมลักษณะของเนื้อดิน เป็นแหล่งกำเนิดของธาตุอาหารพืช และเป็นแหล่งอาหารของจุลินทรีย์ดิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่มีปริมาณมากที่สุดในดินทั่วไป ได้มาจากการผุพังสลายตัวของหินและแร่ อนินทรียวัตถุ อยู่ในดินในลักษณะของชิ้นส่วนที่เรียกว่า อนุภาคดิน ซึ่งมีหลายรูปทรงและมีขนาดแตกต่างกันไป

อินทรียวัตถุ
อินทรียวัตถุ ในที่นี้มีความหมายครอบคลุมตั้งแต่ ส่วนของซากพืชซากสัตว์ที่กำลังสลายตัว จุลินทรีย์ ทั้งที่มีชีวิตอยู่ และในส่วนที่ตายแล้ว ตลอดจนสารอินทรีย์ที่ได้จากการย่อยสลาย หรือถูกสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่ แต่ไม่ได้รวมถึงรากพืช หรือเศษซากพืช หรือซากสัตว์ที่ยังไม่มีการย่อยสลาย

อินทรียวัตถุในดินนี้ เป็นแหล่งสำคัญของธาตุอาหารพืช เป็นแหล่งอาหาร และพลังงานของจุลินทรีย์ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกำมะถัน อีกทั้งยังเป็นส่วนที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อกายภาพของดิน เช่น โครงสร้างดิน ความร่วนซุย การระบายน้ำ การถ่ายเทอากาศ การดูดซับน้ำ และธาตุอาหารของดิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงระดับความอุดมสมบูรณ์ของดินที่จะส่งต่อไปถึงพืช และต้นไม้

น้ำ
ส่วนของน้ำที่พบอยู่ในช่องว่างระหว่างอนุภาคดิน หรือเม็ดดิน มีความสำคัญมากต่อการปลูก และการเจริญเติบโตของพืช เนื่องจากเป็นตัวช่วยในการละลายธาตุอาหารต่างๆ ในดิน และเป็นส่วนสำคัญในการเคลื่อนย้ายอาหารพืชจากรากไปสู่ส่วนต่างๆ ของพืช

อากาศ
ส่วนของก๊าซต่างๆ ที่แทรกอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน ในส่วนที่ไม่มีน้ำอยู่ ก๊าซที่พบโดยทั่วไปในดิน คือ ก๊าซไนโตรเจน (N2) ออกซิเจน (O2) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซึ่งรากพืช และจุลินทรีย์ดินใช้ในการหายใจ และสร้างพลังงานในการดำรงชีวิต

ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : สำนักสำรวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน   กรมพัฒนาที่ดิน   กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

ขอบคุณคลิป : กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ระวัง!! กระบองเพชร ไม้อวบน้ำ ผิวไหม้แดด จนเกิดแผล ในช่วงฤดูหนาวที่แสงแดดแรง

ฤดูหนาวที่มีแดด แสนจะรุนแรง มากพอที่จะทำให้ผิวของต้น กระบองเพชร ไหม้แดดได้ บางสายพันธุ์ไม่พบปัญหา อาทิ สกุลแมมมิลลาเรีย ด้วยขนหนามที่เป็นลักษณะแผ่ออก และบางสายพันธุ์ในช่วงฤดูหนาวก็จะสร้างปุยขนฟูขึ้นมา จึงช่วยบดบังให้แสงแดดไม่สามารถเข้าสู่ลำต้นได้โดยตรง

แต่ในบางสายพันธุ์ อาทิเช่น แอสโตร โลโฟ ที่มีลักษณะเป็นผิวโดยตรง ที่จะกระทบกับแสงแดดทำให้มีโอกาส ที่จะผิวไหม้แดดสูง และแผลที่เกิดจากการไหม้แดดนั้นจะกลายเป็นแผลเป็นติด ไม่สามารถรักษาได้ ต้องรอให้แผลไล่ลงโคนต้นอย่างเดียว

ถ้าเป็นสกุลยิมโน อาจจะเกิดการผิวแห้ง กระด้าง หรือถ้าเป็นไม้ด่าง ก็ยิ่งจะมีความไวต่อแสงแดดสูง อาจจะทำให้สีเปลี่ยนสีเพี้ยนไปบ้าง ต้องใช้ระยะเวลานานในการฟื้นฟู ให้ต้นกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

การดูแล กระบองเพชร ไม้อวบน้ำ ในฤดูหนาว สิ่งที่เราอาจจะต้องให้ความสำคัญเพิ่มขึ้น คือ

☀️ การปรับแสง ให้เหมาะสมกับต้นไม้ของเรา อาจจะเพิ่มชั้นของสแลน เพื่อลดความเข้มข้นของแสง✔️ ดูทิศทางของแสงที่ปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล หาตำแหน่งวางให้เหมาะสม กับแต่ละสายพันธุ์ที่ต้องการแดด

💧 ปรับการให้น้ำให้เหมาะสมกับฤดู ใช้การโชยน้ำ เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในดิน และผิวต้น ซึ่งไม่ควรทำในขณะที่แดดแรงจัด แนะนำให้ทำในช่วงเย็น
 
🌡️ ไม่ควรยกไม้ไปตากแดดแรง หลังรดน้ำทันที ในกรณีที่ปลูกในที่แสงน้อย ต้นอ่อนที่เพิ่งเจริญเติบโตจากการเพาะ ต้นที่เพิ่งทำการเปลี่ยนกระถาง หรือปรับสภาพการเลี้ยง หากยกไปตากแดดที่แรง และอุณหภูมิจะเปลี่ยนฉับพลัน จะทำให้ต้นปรับสภาพไม่ทัน จนตายได้

ที่สำคัญต้องค่อยหมั่นสังเกต หากไม้เกิดการไหม้แดดแล้ว ควรจะต้องนำมาพักและทำการรักษาโดยทันที
วิธีการดูแลรักษา >> กระบองเพชร ต้นย่น ซีดเหลือง มีแผลบริเวณผิว เกิดจากอาการไหม้แดด ขาดน้ำ จะต้องรักษา ดูแล ยังไง?

วัสดุโรยหน้ากระถาง กระบองเพชร ( แคคตัส ) ไม้อวบน้ำ ใช้อะไรได้บ้าง? แต่ละวัสดุมีข้อดีเสียยังไง?


ในการปลูกกระบองเพชร หรือไม้อวบน้ำ วัสดุใช้โรยหน้ากระถางนั้นมีความจำเป็น เพราะจะช่วยประคองต้นตั้งตรง ไม่ล้มง่าย ในธรรมชาติ กระบองเพชร จะแทรกตัวในดิน หรือซอกหิน เป็นการประคองต้นแบบธรรมชาติ และการโรยวัสดุ หรือหิน ยังช่วยให้ดินไม่กระเด็นเวลารดน้ำ ด้วยดินกระบองเพชร จะมีลักษณะเบาร่วนซุย ไม่จับตัวจะทำไห้ดินไหล หรือกระเด็นเมื่อโดนน้ำได้

มีวัสดุหลากหลายแบบ ให้เลือกใช้ตามความชอบ ซึ่งแต่ละชนิดก็มีคุณสมบัติ แตกต่างกันไป ทั้งเรื่องประโยชน์ ข้อดี และเสีย

ดินญี่ปุ่น อคาดามะ ( Akadama Soil )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อดินที่นำไปผ่านการอบที่อุณหภูมิสุง ดินจับตัวเป็นเม็ด เนื้อแข็งปานกลาง แตกง่าย เมื่อใช้มือบีบ สีของดินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ ทำให้สังเกตความชื้นในดินได้ง่าย สีเป็นธรรมชาติ สวยงามเมื่อนำมาตกแต่ง มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : เปี่อยยุ่ย ตามอายุการใช้งาน หากโดนน้ำบ่อย สถานที่ปลูกความชื้นสูง ก็จะทำเนื้อดินสึกกร่อนได้ง่าย นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
การกักเก็บความชื้น : ช่วยเก็บความชื้นพอประมาณ ตัวดินแห้งง่ายไม่อมน้ำมาก
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาค่อนข้างสูง

หินภูเขาไฟสีดำ หินลาวาดำ ( Black Volcanic Stone )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อหินที่มีความโปร่งพรุนสูง ลักษณะเนื้อหินมีความสาก ร่วน เนื้อค่อนข้างแข็ง ขนาดเม็ด จะไม่ค่อยสม่ำเสมอกัน เป็นก้อน หรือละเอียดบ้าง สีของหินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : มีความคงทนสูง ใช้งานได้นาน แต่เมื่อใช้ไปนานๆ อาจจะเป็นคราบขาวจากตะกอนน้ำได้ (ซึ่งไม่มีผลต่อการเจริญเติบโต)
การกักเก็บความชื้น : หินแห้งง่าย ไม่เก็บความชื้นนาน หากเป็นไม้ที่ปลูกกลางแจ้ง หรือโดนฝน ก็จะทำให้ดินในกระถางแห้งเร็ว ไม่ทำให้โคนต้นเป็นคราบความชื้น นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาปานกลาง

ดินคานูมะ ( Kanuma Soil )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อดินนุ่ม แตก ยุ่ยง่าย มีแร่ธาตุในตัว สีเปลี่ยนเมื่อโดนน้ำ เนื้อดินเม็ด น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้
ความคงทน : เปี่อยยุ่ย ตามอายุการใช้งาน หากโดนน้ำบ่อย สถานที่ปลูกความชื้นสูง ก็จะทำเนื้อดินสึกกร่อนได้ง่าย นำกลับมาใช้ซ้ำยาก
การกักเก็บความชื้น : เก็บความชื้นนาน แห้งช้า เหมาะกับไม้ที่ไม่ต้องการความชื้นเยอะ
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาค่อนข้างสูง

หินภูเขาไฟ ( Pumice )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเนื้อหินที่มีความโปร่งพรุน ลักษณะเนื้อหินมีความสาก น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้ สีของหินเปลี่ยนเมือโดนน้ำ มีแร่ธาตุในตัว เบอร์ที่ใช้โรยหน้ากระถางควรเป็นเบอร์ใหญ่
ความคงทน : เป็นวัสดุที่คงทน อายุการใช้งานนาน สามารถล้างแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
การกักเก็บความชื้น : หินแห้งเร็ว ทำให้ดินไม่เก็บความชื้นนาน เหมาะกับไม้ที่ไม่ชอบความชื้น
ราคา : เป็นสินค้านำเข้า ราคาปานกลาง

หินกรวด หินเกล็ด ( Pebble Stone, Crushed Stone )

ลักษณะของวัสดุ : แข็ง น้ำหนักเยอะ มีหลากหลายสีสันตามธรรมชาติ หากเป็นหินกรวดแม่น้ำ เม็ดจะมีลักษณะกลมมน หากหินเกร็ดจะเป็นหินภูเขา ลักษณะเม็ดเป็นแเหลี่ยม ไม่มีแร่ธาตุในตัว
ความคงทน : เป็นวัสดุที่มีความคงทน นำมาล้างและ ใช้ซ้ำได้บ่อย
การกักเก็บความชื้น : ตัวหินไม่เก็บความชื้น แต่จะทำให้ดินในกระถางระบายความชื้นได้ช้า ด้วยตัวหินมีลักษณะแน่นทีบ หากขนาดยิ่งเล็ก จะทำให้เกิดความแน่นหน้าดิน และทำให้ดินแห้งช้า
ราคา : เป็นสินค้าที่มีแพร่หลายหาซื้อได้ง่าย ราคาย่อยเยาว์

เม็ดดินเผา เม็ดดินปั้น ( Popper , Clay Pebbles )

ลักษณะของวัสดุ : เป็นเม็ดกลม เนื้อค่อนข้างแข็ง เนื้อด้านในมีความพรุนสูง สีมีทั้ง น้ำตาล หรือดำ แล้วแต่ผู้ผลิต น้ำหนักเบา เวลารดน้ำต้องระวังกระเด็น หรือลอยตัวได้
ความคงทน : เป็นวัสดุที่คงทน อายุการใช้งานนาน สามารถล้างแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
การกักเก็บความชื้น : ด้วยตัวของเม็ดมีลักษณะพรุน จึงทำให้กักเก็บความชื้นได้เยอะทั้งหน้าดิน และในกระถาง
ราคา : ราคาปานกลาง

กระบองเพชร สกุล โครีแฟนทา (Coryphantha) การเลี้ยง และดูแล


ลักษณะของต้น

เป็นกระบองเพชรที่มีจุดเด่นตรง หนาม ลักษณะของต้นเป็น เต้ากระจายรอบต้น ผิวของต้นสีเขียวเข้ม มีปุยขาวปกคลุมในช่วงระหว่างเตา แตกหน่อที่ปลายเตา หรือช่องระหว่างหน่อ สายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยง และพบได้บ่อยคือ C.elephantidens ( ช้างแคคตัส ) ที่มาจากภาษาลาติน ที่แปลว่า ฟันช้าง ตามลักษณะของหนามหนา และใหญ่

ลักษณะของดอก

เป็นสายพันธุ์ที่ออกดอกได้เรื่อยๆ ตลอดทั้งปี ดอกมี 3 สี ชมพู เหลือง ขาว ที่พบบ่อยคือ สีชมพู ดอกใหญ่ สีกลีบ มันเงา กลีบดอกยาว จะเริ่มบานตั้งแต่สาย และบานเต็มทีในช่วงบ่าย ดอกหุบในตอนเย็น บาน 1- 2 วัน

การขยายพันธุ์

ผสมเกสร เมื่อติดฝักนำไปเพาะ ขยายพันธุ์ หรือใช้การเด็ดหน่อชำ

สภาพแวดล้อมและการเลี้ยงดู

สกุลโครีแฟนทา หรือที่ในบ้านเราเรียกกันว่า ช้างแคคตัส ชอบแดดจัด 75-90% อากาศถ่ายดีได้ไม่อับชื้น ยิ่งมีลมโกรก ก็จะช่วยป้องการเกิดโรคได้ดี สิ่งสำคัญคือ การวางต้น ควรมีการเว้นระยะไม่ให้แออัด แสงแดดส่องถึงได้ทั่ว ไม่เช่นนั้นจะผิวเสีย และเป็นโรคได้ง่าย ดินที่ปลูกต้องมีความโปร่ง ไม่เก็บความชื้นเยอะ ชอบน้ำมากว่าสายพันธุ์อื่นๆ หากต้องการให้ต้นโต เต้าใหญ่ แข็งแรง ต้องบำรุงด้วยปุ๋ย

โรค และศัตรูพืชที่พบบ่อย

ไรแดง, เพลี้ยหอย, เพลี้ยแป้ง, โรคจากแบคทีเรีย

นั่ง “หายใจทิ้ง” แอบอิงธรรมชาติ ในคาเฟ่ท่ามกลางสวนมะพร้าว ที่อัมพวา


ชื่อคาเฟ่ ที่ฟังดูแปลกหู แต่ก็ได้ให้ความหมายที่เห็นภาพชัดเจน “หายใจทิ้ง คาเฟ่” คาเฟ่ในสวน ตั้งอยู่ใน อ. อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ใกล้ๆ กับตลาดน้ำท่าคา ร้านมีบริการทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม มีโซนให้เลือกนั่งทั้งใน ห้องแอร์ และ Outdoor สำหรับคนที่พาลูก หรือเด็กเล็กมาด้วย ก็มีโซนที่เป็นของเล่นให้เด็กๆ ได้นั่งเล่นสนุกๆ หรือจะเดินไปเที่ยวชมสวนที่เป็นโซนสัตว์เลี้ยงด้านนอก พายเรือเล่น

โซนด้านนอก อากาศสบายๆ ไม่ร้อนมาก ที่เป็นซุ่มนั่งมีพัดลม นั่งกินอาหาร และเครื่องดื่ม พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์จากสวนมพร้าว

Photo : mini3garden.com, เพจคาเฟ่หายใจทิ้ง

@mini3garden

แม่ค้า ไปเจอคาเฟ่ ที่มีชื่อแปลกๆว่า หายใจทิ้ง คาเฟ่ในสวนมะพร้าว 🌴@แม่กลอง ใกล้กับตลาดน้ำท่าคา เลยเอามาฝากค่ะ 😊 . http://www.mini3garden.com

♬ original sound – mini3garden – mini3garden

• Facebook : HiJaiThink
• Open-Close : 9:00–17:00
• Tel :  097 193 8756
• Location : ท่าคา / อัมพวา / สมุทรสงคราม / แม่กลอง
• GPS :  https://g.page/HiJaiThink?share

อยากจะตื่นมาเจอแบบนี้ทุกวัน โฮมสเตย์บ้านตานงค์ จ.น่าน ที่พักหลักร้อย วิวธรรมชาติ หลักล้าน


ตานงค์โฮมสเตย์ อ.ปัว จ.น่าน นอนสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ฉ่ำปอด พร้อมวิวทิวทัศน์ งดงามดุจภาพวาด ฉากหลังมีทิวเขาทอดยาวเป็นแนว ตัดกับความเขียวขจี สดใสของยอดข้าว และสีทองอร่ามจากรวงข้าว ที่พริ้วไหวไปตามสายลม ทำให้เราเพลิดเพลินกับธรรมชาติ จนลืมเวลา

หากใครที่ต้องการเข้าพัก ติดต่อได้ที่เพจของที่พักโดยตรง สามารถสอบถามกับที่พักได้ว่า ช่วงไหนที่ไปแล้วจะยังเห็นนาข้าว ที่ยังไม่ได้เกี่ยว ซึ่งจะมีเป็นช่วงเวลา และถ้าหากอยากสัมผัสกับอากาศเย็นสบาย พร้อมไอหมอก ในช่วงเดือนตุลาคมจะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว
ที่พักมี แอร์ wifi เครื่องทำน้ำอุ่นพร้อมสรรพ และมีอาหารและเครื่องดื่มบริการในราคาไม่แพง
บอกได้คำเดียวว่า ราคาห้องพักกับวิวที่ได้สมกับราคาที่ว่า “ห้องพักหลักร้อยวิวหลักล้าน” จริงๆ


• Facebook : homestay.tanong
• Booking – จองที่พัก ได้ที่ Facebook Page
• Tel : 089 761 8013
• Location : ปัว / น่าน / ภาคเหนือ
• GPS : https://goo.gl/maps/UVwuDRBn6s22

Misstar Cafe นั่งจิบ ชา กาแฟ พร้อม รื่นรมย์ กับต้นไม้นานาพันธุ์ ในการตกแต่งสวนสไตล์อังกฤษ


ใครที่ชื่นชอบ คาเฟ่ในสวน สไตล์อังกฤษ ไม่ควรพลาดร้านนี้ Misstar cafe by davika ที่เจ้าของเป็นดาราสาว ใหม่ ดาวิกา ร้านตกแต่งเน้นต้นไม้หลากหลายนานาพันธุ์ ทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ สีเขียวสดชื่น กับโทนเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งสีขาว บรรยากาศดีๆ นั่งจิบชา กาแฟ เพลินๆ พร้อมด้วยเบเกอรี่ หรือจะเป็นเมนูอาหารเบาๆ ยิ่งในฤดูหนาวแล้ว ทำให้นึกว่าอยู่ที่สวนเล็กๆ ในอังกฤษจริงๆ

ซึ่งตอนนี้ทางร้านก็เพิ่มพื้นที่รองรับสำหรับจัดงานแต่ง ทำให้ได้บรรยกาศงานแต่งในสวน ที่เป็นบรรยกาศงานแต่งเล็กๆ แต่อบอุ่น และอบอวนไปด้วยธรรมชาติที่โอบล้อมทั้งงาน ที่ทำให้รู้สึก โรแมนติก แบบไม่ต้องปรุงแต่งมากมาย

ภาพสถานที่จัดงานแต่ง จากเพจ Misstar Cafe


• Facebook : Misstarcafe
• Open-Close : 10:00AM – 7:00PM **หยุดทุกวันจันทร์
• Tel : 092 663 3636
• Location : สุขาภิบาล5 / วัชรพล / รามอินทรา /บางเขน / พหลโยธิน / bangkok
• GPS : https://goo.gl/maps/UVwuDRBn6s22